เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ตอนที่อังกฤษ ตัดสินใจว่าจะใช้เงินปอนด์ต่อไป ไม่เปลี่ยนไปใช้เงินยูโร เหมือนประเทศส่วนใหญ่ที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หรืออียู ที่ต่างยกเลิกสกุลเงินประจำชาติ แล้วหันไปใช้เงินยูโรแทน อังกฤษถูกวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายที่สนับสนุนการใช้เงินตราสกุลเดียวว่า เศรษฐกิจจะเสื่อมทรามลง เงินปอนด์ จะด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ
เวลาผ่านไปจนถึงวันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นสวนทางกับความเห็นของบรรดาผู้รู้ทั้งหลายโดยสิ้นเชิง เศรษฐกิจของอังกฤษโดยเฉลี่ย มีอัตรการขยายตัวดีกว่าทุกประเทศในอียู ยกเว้นเยอรมนี ในขณะที่ที่ประเทศสมาชิกอียู ในยูโรโซน ล้วนแต่มีปัญหาเศรษฐกิจถดถอย อัตราคนว่างงานสูง หนี้สินบานเบอะถึงขั้นล้มละลายหลายประเทศ
การที่อังกฤษไม่อยุ่ในยูโรโซน ทำให้ป้องกันตัวจากวิกฤติการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับประเทศในยูโรโซนได้ รวมทั้งรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย เพราะมีอิสระในการใช้นโยบาย เครื่องมือทางด้านการเงิน การคลัง เพื่อแก้ไขปัญหสได้มากว่า
ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากคนอังกฤษลงประชามติว่า อังกฤษควรออกจากการเป็นสมาชิกอียู ที่เรียกกันว่า Brexit ด้วยคะแนน 52 % ต่อ 48 % เมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา ผู้ที่สนับสนุนการคงอยู่ในอียูต่อไป ต่างคาดหมายอนาคตของอังกฤษในทางลบทั้งสิ้น
เสียงข องผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายเหล่านี้คือ เสียงของนักการเมือง นักวิชาการ นักการเงิน ซีอีโอของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ทั่วโลก เสียงของสื่อ ก่อนหน้าการลงประชามติ คนเหล่านี้คือ ผู้ที่สนับสนุนให้อังกฤษคงอยุ่ในอียูต่อไป สถาบันการเงินของสหรัฐฯหลายแห่ง อย่างเช่น โกลด์แมน แซคส์ เจพี มอร์แกน ฯลฯ ถึงกับลงขันเป็นเงินหลักแสนดอลลาร์ เป็นทุนในการรณรงค์ให้อังกฤษยังคงอยู่ในอียูต่อไป
แน่นอนว่า บรรดาคนเหล่านี้ ซึ่งเรียกกันว่า ชนชั้นนำ ที่เป็นผู้กำหนดทิศทางของประเทศ คือ คนที่ได้รับผลประโยชน์จากการที่อังกฤษเป็นสมาชิกอียู เป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ที่แลกมาด้วยการยอมสูญเสียความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบาย ยอมรับเอากฎหมาย เงื่อนไขของอียูมาปฏิบัติตาม
หลังผลการลงประชามติออกมา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ตลาดหุ้น ทั่วโลกจะถูกเทขาย ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลงมากที่สุดในรอบ 30 ปี มันเป็นปฏิกิริยาของความผิดหวัง ความตื่นตระหนกของคนเหล่านี้ ที่มีอำนาจควบคุมตลาดการเงินโลก
เสียงที่บอกให้อังกฤษออกจากอียู เป็นเสียงของคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมาย ในพื้นที่ที่ยากจนที่สุดของอังกกฤษ การณรงค์ให้อังกฤษออกจากอียูมีความเข้มแข็งที่สุด คนอังกฤษลุกขึ้นมาบอกว่า พอแล้ว พวกเขาต้องการ รัฐบาลที่สามารถกำหนดนโยบายของตนเองได้ ไม่ต้องการนโยบายที่ออกมาจากคณะกรรมาธิการอียู ที่กรุงบรัสเซล์ ประเทศเบลเยี่ยม
การลงประชามติว่า อังกฤษจะออกจากอียูหรือไม่ จึงเป็นการต่อสู้กันระหว่าง ชนชั้นนำหรือ establishment กับ ประชาชน ผลปรากฎว่า ประชาชนชนะ แม้จะเป็นชัยชนะที่คะแนนห่างกันเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้โลกของบรรดาชนชั้นนำสั่นสะเทือน
บางคนเรียกผลการลงประชามติครั้งนี้ว่า การปฏิวัติของประชาชน
การลงประชามติชองคนอังกฤษนี้ ยังส่งผลสะเทือนไปถึงประเทศอื่นๆในอียู พรรคการเมืองในฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ ฯลฯ เริ่มเรียกร้องให้รัฐบาลของตนจัดให้มีการลงประชามติว่าจะแยกตัวออกจากอียูหรือไม่ แบบเดียวกับอังกฤษ
ในวันที่ อังกฤษแยกตัวออกจากอียู ซึ่งอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นการพังทลายของสหภาพยุโรป ถ้ามีประเทศอื่นเจริญรอยตาม เออีซี หรือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งมีอียู เป็นต้นแบบ ก็เพิ่งจะตั้งไข่ เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเพียงครึ่งปี
ความผิดพลาดและล้มเหลวของอียู เป็นเพราะให้ความสำคัญกับ เรื่องเศรษฐกิจเพียงเรื่องเดียว ละเลย การหลอมรวมทางด้านสังคม และวัฒนธรรมของประเทศสมาชิก ที่มีความแตกต่างกัน การรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ในทางปฏิบัติแล้วก็เพื่อ เป็นตลาดซื้อขายสินค้า บริการ แรงงาน การลงทุน อย่างเสรี ไม่มีขีดจำกัด เท่านั้น คนที่ได้ประโยชน์จึงมีแต่ชนชั้นนำ ที่ “เข้าถึง” ตลาดนี้ได้
คำขวัญของอาเซียนคือ หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ หนึ่งประชาคม ( One Vision ,One Identity , One Community) ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ด้วยการ พูดคุย สื่อสารกัน ให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจและความร่วมมือกันทางสังคมและวัฒนธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความยอมรับในความแตกต่าง อยู่ร่วมกันได้
การเน้นแต่เรื่องเศรษฐกิจ อย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้ ทำให้เออีซี เป็นแค่ตลาดสินค้า บริการ การลงทุน อย่างเสรี ที่มีแต่การแข่งขัน แสวงหาผลประโยชน์ทางเศราฐกิจของชนชั้นนำ เท่านั้น โดยที่ประชาชนของอาเซียนไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
ความผิดพลาดของอียุ ที่นำไปสู่การแยกตัวของอังกฤษ น่าจะเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับ เออีซี
******************************
ในวันที่ อังกฤษแยกตัวออกจากอียู ซึ่งอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นการพังทลายของสหภาพยุโรป ถ้ามีประเทศอื่นเจริญรอยตาม เออีซี หรือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งมีอียู เป็นต้นแบบ ก็เพิ่งจะตั้งไข่ เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเพียงครึ่งปี
ความผิดพลาดและล้มเหลวของอียู เป็นเพราะให้ความสำคัญกับ เรื่องเศรษฐกิจเพียงเรื่องเดียว ละเลย การหลอมรวมทางด้านสังคม และวัฒนธรรมของประเทศสมาชิก ที่มีความแตกต่างกัน การรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ในทางปฏิบัติแล้วก็เพื่อ เป็นตลาดซื้อขายสินค้า บริการ แรงงาน การลงทุน อย่างเสรี ไม่มีขีดจำกัด เท่านั้น คนที่ได้ประโยชน์จึงมีแต่ชนชั้นนำ ที่ “เข้าถึง” ตลาดนี้ได้