บอร์ด อสค. ตรวจสอบโกดังมันเส้นในโครงการแทรกแซงมันสำปะหลัง ยุคยิ่งลักษณ์ พบมันเส้นเหลือในโกดังแค่ไม่ถึง 2 พันตัน หายไปกว่า 8.8 พันตัน เสียหาย 65 ล้าน สุดแสบใช้แกลบยัดไส้ในถุงบิ๊กแบ็ก แถมเจ้าของโกดังหลบหนีไปแล้ว จ่อดำเนินคดีและให้ ปปง. ตรวจสอบ
วันนี้ (23 มิ.ย.) พล.ต.ต.ไกรบุญ ทรวดทรง ประธานคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้สั่งการให้กองบัญชาการกองทัพไทย โดยหน่วยพัฒนาเคลื่อนที่ 51 และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สนับสนุนกระทรวงพาณิชย์ โดยองค์การคลังสินค้า ในการสำรวจปริมาณมันเส้นคงคลังของรัฐ ในการเตรียมเสนอรัฐบาลขออนุมัติระบายมันเส้นเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาและพลิกกอง ซึ่งต้องเสียใช้งบประมาณปีละหลายร้อยล้าน
โดยเมื่อเวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา ทั้ง 3 หน่วยงานได้เข้าร่วมตรวจปริมาณมันเส้นขององค์การคลังสินค้าที่ฝากเก็บไว้ที่ หจก.ข้าวหอมอุบล จำกัด อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2554/55 (สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) เบื้องต้น ผลการตรวจสอบปริมาณทางกายภาพ พบว่า มีมันเส้นคงเหลือประมาณ 1,930 ตัน ซึ่งจากเดิมฝากเก็บไว้ปริมาณ 10,743 ตัน หายไปประมาณ 8,800 ตัน รวมมูลค่าความเสียหาย ประมาณ 65.4 ล้านบาท
ผลการคัดแยกปริมาณมันเส้นที่เหลือ โดยเจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้รถตักคัดแยก พบว่า มีการนำแกลบบรรจุถุงบิ้กแบ็กซุกซ่อนไว้ภายใน และใช้มันเส้นปิดทับ ซึ่ง องค์การคลังสินค้า จะได้ทำการคัดแยกเพื่อประเมินมูลค่าความเสียหาย ที่รัฐต้องเสียค่าฝากเก็บ ในเบื้องต้นได้ประมาณการมันเส้นที่สูญหายตามจำนวนที่นำแกลบมาซุกซ่อนไว้แทนอีกประมาณ 10.5 ล้านบาท รวมมูลค่าความเสียหาย และค่าปรับ ประมาณ 100 ล้านบาท
ทั้งนี้ ได้ไปตรวจสอบที่ภูมิลำเนาของเจ้าของโกดังที่เป็นคู่สัญญากับองค์การคลังสินค้า พบว่า ได้หลบหนีไปแล้ว แต่การดำเนินการตามกฎหมายยังคงดำเนินการต่อไป โดย องค์การคลังสินค้า จะได้แจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่กองปราบปราม เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่ร่วมกระทำความผิด และหากพบว่าเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จะได้ประสานงานกับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อดำเนินตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ องค์การคลังสินค้า ได้ทยอยสำรวจมันเส้นฝากเก็บในลักษณะดังกล่าวมาโดยตลอด พบความเสียหายที่ผ่านมา และมีการดำเนินคดีไปแล้ว 120 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 296 ล้านบาท