“บุญส่ง” วอน กรธ.พบ “ก๊วนเพื่อไทย” โพสต์เฟซบุ๊กผิดกฎหมาย แจ้งความได้ไม่ต้องรอ
พัทยา - กกต.ด้านสืบสวนสอบสวน ชี้หาก กรธ.เห็นว่านักการเมืองเพื่อไทยโพสต์เฟซบุ๊กผิดกฎหมายให้ร้องทุกข์กับตำรวจได้เลย ไม่ต้องร้องมา กกต. เชื่อแม้ไม่มีมาตรา 61 วรรคสองใน พ.ร.บ.ประชามติก็มีกฎหมายอื่นดูแลควบคุมสถานการณ์ได้ พร้อมเผยเร่งอบรม พนง.สืบสวน กกต. เตรียมยกระดับให้มีอำนาจสืบสวนเท่าตำรวจ รองรับการเลือกตั้งปี 60
เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี นายบุญส่ง น้อยโสภณ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวน เป็นประธานการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะ ผู้ปฏิบัติงานสืบสวนสอบสวนให้เป็นมืออาชีพ และเพื่อนำผลการสัมมนาไปพิจารณาเสนอแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งในทุกระดับที่จะมีขึ้นในอนาคต รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับ กกต. เพื่อให้พนักงานสืบสวนฯ เป็นมืออาชีพที่น่าเชื่อถือ โดยคาดว่าก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2560 จะมีการอบรมพนักงานสอบสวนให้มีความเชี่ยวชาญ และอนาคต กกต.จะขอแก้ไขกฎหมายให้พนักงานสืบสวนสอบสวนของ กกต.มีอำนาจเหมือนพนักงานสอบสวนของตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งจะทำให้การป้องกันและปราบปรามการติดหรือตั้งเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ยังได้กำชับพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน กกต.ที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนและกระบวนการการจัดทำประชามติดำเนินการด้วยความเป็นกลาง สุจริตและเที่ยงธรรม และเชิญชวนให้ผู้มีสิทธิออกเสียงออกไปใช้สิทธิลงประชามติในวันทึ่ 7 ส.ค.
นายบุญส่งยังกล่าวถึงส่วนแนวทางการสืบสวนสอบสวน การทำผิดกฎหมายประชามติว่า จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ที่จะเป็นเรื่องของการคัดค้านการออกเสียงที่จะเกี่ยวกับลงคะแนน การนับคะแนน และการขานคะแนน แต่หากเป็นความผิดทางอาญา เช่น มาตรา 116 ความมั่นคงของรัฐ มาตรา 215 การชุมนุม 5 คนขึ้นไป รวมทั้ง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ประกาศคำสั่ง คสช. ความผิดทั้งหมดนี้เป็นอำนาจโดยตรงของตำรวจ
ส่วนกรณีสมาชิกพรรคเพื่อไทยโพสต์ Facebook ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้น เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่ถือว่าเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ประชามติ แต่อาจผิดกฎหมายความมั่นคง เช่น กฎหมายอาญา มาตรา 116 ความมั่นคงของรัฐ และเป็นเรื่องของตำรวจที่จะต้องไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ รวมทั้งหากกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวผิดกฎหมายก็สามารถที่จะไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เลย กกต.จะไม่ก้าวล่วงไปสืบสวน ถ้า กรธ.ส่งเรื่องมา กกต.ก็ต้องส่งไปให้ตำรวจท้องที่ เพราะการออกเสียงประชามติเป็นความผิดทางอาญา
“สัปดาห์ที่ผ่านมาที่ประชุม กกต.ก็ได้พิจารณากรณีที่ สน.ชนะสงคราม และ สน.สำราญราษฎร์ ทำหนังสือมาหารือกรณีกลุ่มพลเมืองโต้กลับ และกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ซึ่งทาง กกต.ก็ได้แจ้งไปว่าหากพบเป็นความผิดซึ่งหน้าเป็นอำนาจหน้าที่ของตำรวจที่ต้องดำเนินการตามกฏหมายอาญา ก่อนหน้านี้เราก็ได้ให้ ผอ.กต.จังหวัด แจ้งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด และเมื่อวันที่ 23 พ.ค.ก็ได้มีหนังสือแจ้งไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่เรื่องอาจจะยังไม่ถึงท้องที่” นายบุญกล่าว
นายบุญส่งยังปฏิเสธที่จะกล่าวถึง คำชี้แจงของ กกต.ที่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ กรณีมาตรา 61 วรรคสอง เพราะคดีอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลแล้ว แต่ส่วนตัวเห็นว่ามาตราดังกล่าวมุ่งป้องปรามผู้เผยแพร่ทางสื่อต่างๆ แม้ไม่มีบทบัญญัติดังกล่าวใน พ.ร.บ.ประชามติ ก็มีกฎหมายอื่นในการควบคุมการออกเสียงประชามติ เช่น กฎหมายคอมพิวเตอร์ กฎหมายอาญา หรือแม้แต่ในมาตรา 61 อนุ 1 พ.ร.บ.ประชามติ ก็บัญญัติความผิดเรื่องความไม่สงบเรียบร้อย อนุ 3 ก็เรื่องการหลอกลวง ข่มขู่ ใช้อิทธิพลคุกคาม ซึ่งก็ดูแลการแสดงความคิดเห็นได้อยู่แล้ว
สำหรับเรื่องการตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติของกลุ่ม นปช.นั้น นายบุญส่งกล่าวว่า กกต.คงไม่สามารถรับรองได้ เพราะ กกต.ต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง ตนจึงขอถามว่า นปช.เป็นกลางทางการเมืองหรือไม่ ซึ่งคิดว่าเราก็รู้กัน อย่างนั้นคงรับรองไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการจัดเวทีชี้แจงร่างร่างรัฐธรรมนูญและประชามติที่ยังเหลืออีก 2 แห่งนั้น ตนจะไปร่วมในเวทีสุดท้ายที่ จ.นครราชสีมา ที่เบื้องต้นได้รับแจ้งว่า จากเดิมที่จะจัดในค่ายทหารได้ย้ายไปจัดที่หอประชุมเปรม ติณสูลานนท์ แทนแล้ว