เมืองไทย 360 องศา
“หาก นปช.เดินหน้าตั้งศูนย์ปราบโกงต่อ ผมไม่ให้เดิน พอแล้ว หยุดเถอะผมขอร้อง ไม่เอา หากยังเดินหน้าต่อ ผมก็มีมาตรการทางกฎหมายดำเนินการ ไปดูว่าผิดอะไรไหม หากผิดว่าไปตามนั้น แต่ตอนนี้ผมขอร้องก่อน หากจะตั้งแบบนี้ใครๆ ก็ตั้งขึ้นมาได้ แบบนี้ประเทศก็ยุ่ง ไม่เช่นนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีไว้ทำไม”
นั่นเป็นคำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศชัดเจนว่าเขาจะไม่ยอมใหัมีการตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติของกลุ่ม นปช.ขึ้นมาอย่างเด็ดขาด หากฝ่าฝืนก็จะดำเนินการตามกฎหมาย
คำพูดดังกล่าวของ พล.อ.ประวิตร มีขึ้นก่อนกำหนดการเปิดศูนย์ปราบโกงของพวก นปช.เพียงไม่กี่ชั่วโมง เนื่องจากตามกำหนดจะเปิดศูนย์พร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 14 มิถุนายน
แน่นอนว่า เมื่อพิจารณาจากท่าทีที่แข็งกร้าวเด็ดขาดของ จาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. กับอีกฝ่าย และต้องมาวิเคราะห์ว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริงถึงต้องมีการตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติ
อย่างไรก็ดี ต้องเริ่มจากประเด็นหลังก่อนว่าทำไมถึงต้องตั้งศูนย์แบบนี้ขึ้นมา นาทีนี้เชื่อว่าหลายคนพอมองออกได้ไม่ยาก ว่านี่คือเกมยั่วประสาทคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือมีกิจกรรมเพื่อเจตนายั่วยุให้มีการจับกุม สร้างภาพบรรยากาศเผด็จการปิดกั้นเสรีภาพการแสดงออกของประชาชน และที่ผ่านมาก็มีการ “ตีปี๊บ” กันมาแบบอึกทึกครึกโครมกันมาไม่น้อย และคาดว่าหากผ่านวันที่ 14 มิถุนายนซึ่งเป็นกำหนดการเปิดศูนย์ฯ พร้อมกัน น่าจะต้องมีการเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้นแน่
เพราะก่อนหน้านี้นอกเหนือจากการอ้างเจตนาเพื่อการปราบปรามการทุจริตที่เกี่ยวกับการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำหนดมีขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม แล้วพวกยังอ้างว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมรณรงค์ให้ประชาชนออกมาลงประชามติให้มากที่สุด แต่นั่นก็ถูกมองว่าเป็นเพียง “เจตนาแอบแฝง” ซ่อนเร้น ไม่ใช่เจตนาที่แท้จริง
สังคมส่วนใหญ่ก็พอมองออกว่า เป็นการ “ตีสองหน้า” ด้านหนึ่งบอกว่าต้องการปราบโกง แต่เมื่อพิจารณากันถึงแบ็กกราวนด์ และความเคลื่อนไหวที่ผ่านมาของแต่ละคนแล้ว มีแต่เรื่องที่ต้องชวนสนุกสนาน บางคนเคยถูกศาลตัดสินมีความผิดเกี่ยวกับการทุจริตเลือกตั้ง จนเป็นสาเหตุทำให้มีการยุบพรรคไทยรักไทย จนมาถึงยุบพรรคพลังประชาชนมาแล้ว
หลายคนมองออกว่า คนพวกนี้เป็นเครือข่ายของทักษิณ ชินวัตร ที่ต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะอย่างที่รู้กันก็คือ หากผ่านไปได้จะทำให้ทักษิณและคนในครอบครัวหลายคน รวมทั้งบรรดาสมาชิกปราบโกงพวกนี้ ต้องจบอนาคตทางการเมืองตลอดชีวิต อย่างไรก็ดี หากจะมีการเคลื่อนไหวแบบโจ่งแจ้งก็ทำได้ยาก เพราะเสี่ยงต่อความผิด ฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีแบบเนียนๆ ดังกล่าว
อย่างไรก็ดี สำหรับฝ่ายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ นาทีนี้ถือว่า “อ่านเกมออก” และรอดูประเมินสถานการณ์กันมาพอประมาณแล้ว เห็นว่า ถึงเวลาต้อง “ตัดเกม” ตั้งแต่ต้นมือ เพราะถ้ายังขืนปล่อยไว้ให้ลากยาวออกไปเรื่อยๆ มีสิทธิ์ป่วนได้ตลอดเวลา พิจารณาเห็นแล้วว่าหากปล่อยให้มีการรวมกลุ่มเคลื่อนไหว แม้ว่าหน้าฉากจะอ้างว่าเพื่อปราบโกง แต่ข้างหลังฉากอาจมีการรวมตัวกันด้วยเจตนาแอบแฝง เหมือนกับที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายตั้งข้อสังเกต อีกทั้งเวลานี้ยังมีคำสั่ง คสช.ในเรื่องห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ค้ำคออยู่ชัดเจน นี่จึงเป็นเครื่องมือชัดเจนสำหรับการจัดตั้งศูนย์ต่างๆ หรือห้ามมีกิจกรรมใดๆ
ดังนั้น หากพิจารณากันในนาทีนี้ก็ต้องบอกว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มองเกมออกว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน ฝ่ายแรกก็รู้อยู่แล้ว “ต้องโดน” แบบนี้แน่ นั่นคือต้องถูกขัดขวาง ถูกสั่งปิดซึ่งก็เป็นเจตนายั่วยุให้จับ จะได้ฟ้องชาวโลกว่าถูกจำกัดเสรีภาพได้ขยายภาพความเป็นเผด็จการตอกย้ำลงไปอีก หรือหากเกิดความปั่นป่วนบานปลายสร้างกระแสจุดติดขึ้นมามันก็ยิ่งกว่าคุ้มแบบที่ลงทุนน้อย ขณะที่ฝ่าย คสช.ก็อ่านขาดว่าหากขืนปล่อยไปก็ป่วนเพราะสัญญาณมาเต็ม และนี่คือที่มาของคำสั่งห้ามเด็ดขาดออกมาอย่างที่เห็น
แน่นอนว่า เมื่อออกมาแบบนี้ก็ต้องถูกนำไปขยายผลในทางลบ ในเรื่องจำกัดสิทธิเสรีภาพ แต่ช่วยไม่ได้ที่ต้องรีบตัดเกม เพราะได้ไม่คุ้มเสีย มีการประเมินชั่งน้ำหนักแล้วก็ต้องรีบจัดการโดยเร็วที่สุด และมั่นใจว่าคุ้มค่าเหมือนกัน ขณะเดียวกันก็ประเมินอารมณ์ของสังคมส่วนใหญ่ว่ายังสนับสนุนในตัวผู้นำ คสช. อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้ว่าความศรัทธาเริ่มลดลง แต่ก็ไม่ถือว่าอยู่ในขั้นวิกฤต ยังลากยาวได้อีกพักใหญ่
อย่างไรก็ดี แม้ว่าในวันนี้จะสามารถสกัดสกัดเกมแอบแฝงของศูนย์ปราบโกงอะไรนั่นลงได้ ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น เพราะเมื่อมุกนี้จบไปก็จะมีมุกใหม่ๆ ตามมาอีก เพราะรับรู้กันว่ามันมีเดิมพันสูงผูกพันถึงอนาคตข้างหน้า มันไม่มีทางโยนผ้ายอมแพ้ง่ายๆ หรอก!