เมืองไทย 360 องศา
ต้องเรียกว่าน่าจับตาแบบไม่ต้องกะพริบกันเลยทีเดียว สำหรับการเคลื่อนไหวของฝ่ายทักษิณ ชินวัตร ที่ตอนนี้หากสังเกตให้ดีจะพบว่าเริ่มเปิดเกมรุกเข้าใส่รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากขึ้นเรื่อยๆ จนสังเกตเห็นชัด สาเหตุอาจเป็นเพราะเป็นช่วงที่ใกล้เวลาชี้ขาดเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหากพิจารณาจากเรื่องสำคัญก็คือการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มีกำหนดในวันที่ 7 สิงหาคม 2559
แน่นอนว่าเรื่องรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลต่ออนาคตของทักษิณ ชินวัตร คนในครอบครัว รวมทั้งเครือข่ายของเขาอย่างมาก เพราะเนื้อหาสำคัญในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ร่างโดย มีชัย ฤชุพันธุ์ และทีมงาน มีการกำหนดเรื่องคุณสมบัติต้องห้ามของคนที่เคยมีประวัติด่างพร้อยเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบ ทุจริตต่อหน้าที่ คนพวกนี้จะถูก “ห้ามเข้า” ห้ามลงสนามการเมืองตลอดชีวิต
แน่นอนว่าคุณสมบัติต้องห้ามดังกล่าว ย่อมโดนใจชาวบ้านส่วนใหญ่ที่ต้องการให้มีการปราบปรามทุจริต รังเกียจนักการเมืองขี้โกง และบังเอิญในร่างดังกล่าว ถูกยืนยันว่านี่เป็นการตอบสนองความต้องการนี้ แต่สำหรับคนที่มีประวัติเคยต้องคดีแบบนี้ เคยถูกศาลตัดสินยึดทรัพย์ มันก็ย่อมต้องต่อต้านเป็นธรรมดา อย่างไรก็ดี วิธีการต่อต้านก็ต้องออกมาแบบ “เนียนๆ” แบบที่ยากจับได้ไล่ทัน นั่นคือพยายามสร้างเงื่อนไข “เผด็จการ” ขึ้นมาอ้างนำหน้า ซึ่งหากพิจารณาจากรูปแบบมันก็ใช่เลย เช่น ที่มาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากคณะรัฐประหาร คสช. หรือในบางมาตราของร่างรัฐธรรมนูญ ที่ถูกว่าเป็นเรื่องอ่อนไหว เช่น เนื้อหาในบทเฉพาะกาล 5 ปี ที่กำหนดให้ ส.ว.มาจากการแต่งตั้ง มีการเปิดทางให้มีการร่วมโหวต “นายกฯ คนนอก” ได้ เป็นต้น
นั่นคือเนื้อหา “อ่อนไหว” ที่หยิบยกมาเป็นข้ออ้างในเรื่องประชาธิปไตยเผด็จการที่จะต้องมีการหยิบยกขึ้นมาปลุกกระแสแบบเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี ยังมีเนื้อหาที่อยู่เบื้องหลังที่สร้างความไม่พอใจให้แก่นักการเมืองอีกก็คือ ระบบการเลือกตั้งที่จะทำให้ผลคะแนนออกมาแบบกระจัดกระจาย เฉลี่ยออกไปกับหลายพรรคการเมือง ทำให้โอกาสที่ทำให้พรรคใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาดได้น้อยมาก หรือแบบเป็นไปไม่ได้เลย เป็นการป้องการเผด็จการรัฐสภาเหมือนที่เคยเกิดขึ้น
ถ้าให้สรุปแบบฟันธงในตอนนี้ก็ต้องกล่าวกันแบบตรงไปตรงมา ฝ่ายการเมืองที่ “เดือดร้อนที่สุด” ก็ต้องเป็นฝ่ายทักษิณ ชินวัตร แน่นอน ส่วนฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ แม้ว่าจะไม่แฮปปี้ ไม่อยากให้ผ่านเหมือนกัน แต่หากผ่านก็เชื่อว่ายังพอกัดฟันทำใจได้ เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นผลของการลงประชามติ
แต่สำหรับฝ่าย ทักษิณ แน่นอนว่าเมื่อผลออกมาแบบนี้ เนื้อหาเป็นแบบนี้มันก็ต้องเดือนร้อนแน่ เพราะระดับ “เจ้าของบริษัท” อย่างพวกเขาจะถูกห้ามลงสนามตลอดชีวิต มันก็เหมือนถูกประหารชีวิต ถูกตัดมือตัดเท้าจนเดี้ยงไปเลย ดังนั้นทางออกทางเดียวคือ ต้องขัดขวางทุกทางเพื่อล้มร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ให้ได้ หรือทำทุกทางเพื่อให้ล้มในวันลงประชามติ หรือ “ไม่ผ่าน” หรือใช้วิธีป่วนจนต้องยกเลิก หรือเลื่อนการลงประชามติออกไป จากนั้นก็ถามหาความรับผิดชอบจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
อย่าได้แปลกใจที่จะได้เห็นแนวทางการป่วนที่กำลังเริ่มต้น หลายคนกำลังจับตาการจัดตั้งศูนย์ปราบปรามการโกงประชามติ ของกลุ่มคนเสื้อแดง นปช. ในสังกัดของครอบครัวทักษิณ ชินวัตร มีความพยายามแสดงให้เห็นว่า มีความเคลื่อนไหวที่จะเปิดศูนย์ฯ ดังกล่าวทั่วประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นการ “สร้างกระแสป่วน” แบบเนียนๆ เหมือนกับการ “ย้อนศร” ดัดหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพราะรู้ดีว่าหากมีการต่อต้านโดยตรง จะมีความผิด จึงหาทางเลี่ยงแบบแอบแฝงออกมาในเชิงสัญลักษณ์ ในแบบให้รู้กันเป็นนัยว่า “ไม่เอา” หรือคว่ำนั่นแหละ แต่ขณะเดียวกันอีกทางหนึ่งเหมือนกับว่า “ยั่วให้จับ” หรือยั่วให้ป่วน เหมือนกับในเวลานี้ที่พวก “หัวโจก” มีความพยายามยั่วให้จับกุมกันอยู่ หรือขู่ว่าหากมีการสั่งปิดศูนย์ปราบโกง จะมีปัญหาใหญ่ตามมา
ดังนั้น หากพิจารณากันตามรูปการณ์ก็ต้องบอกว่า การจัดตั้งศูนย์ปราบโกงของทีมงานเครือข่ายของทักษิณ ชินวัตร ในเวลานี้มันเหมือนกับการเจตนายั่วให้จับ ยั่วให้ป่วน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าทางฝ่ายรัฐบาลและ คสช.จะอดกลั้นได้นานแค่ไหน หรือหาวิธีกำราบให้อยู่หมัดได้หรือไม่ เท่านั้นเอง!