โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชูรัฐบาลแก้ไข พ.ร.บ.ล้มละลาย จนมีผลบังคับใช้แล้ว เป็นชาติที่ 3 ในเอเชีย ทำให้ลูกหนี้เจ้าของเอสเอ็มอีสามารถยื่นขอฟื้นฟูกิจการได้ เพื่อรักษาธุรกิจต่อ หวังช่วยเจ้าที่ยังมีศักยภาพแต่มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน ให้เฉพาะพวกมีหนี้ไม่น้อยกว่า 2 ล้าน แต่ไม่ถึง 10 ล้าน ให้ไปยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง พร้อมแผนฟื้นฟูที่เจ้าหนี้โอเค เพื่อให้ศาลออกคำสั่ง
วันนี้ (12 มิ.ย.) พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลผลักดันให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ล้มละลาย (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2559 มีผลบังคับใช้เมื่อ 25 พ.ค. 2559 ถือเป็นครั้งแรกที่เปิดโอกาสให้ลูกหนี้ที่เป็นบุคคลธรรมดา คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วน หรือบริษัท ซึ่งประกอบกิจการ SMEs และอยู่ในสถานะไม่สามารถชำระหนี้ได้ ให้สามารถยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง
“การฟื้นฟูกิจการ คือกระบวนการทางศาลเพื่อรักษาธุรกิจไว้ ให้กิจการดำเนินต่อไปได้ ที่ผ่านมาจะมีเฉพาะบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเท่านั้นที่ยื่นขอฟื้นฟูกิจการได้ รัฐบาลจึงต้องการช่วยเหลือ SMEs ที่ยังมีศักยภาพ แต่อาจมีปัญหาสภาพคล่องทางการเงินหรือไม่สามารถชำระหนี้จำนวนไม่สูงมากได้ในช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้ธุรกิจไม่ถูกฟ้องทั้งทางแพ่งและล้มละลาย โดยมีขั้นตอนที่สะดวก ประหยัด รวดเร็ว ผ่านแผนฟื้นฟูสำเร็จรูป (pre package)” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.ต.สรรเสริญกล่าวต่อว่า ลูกหนี้ที่ขอฟื้นฟูกิจการ SMEs ของตน ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาต้องมีจำนวนหนี้ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วน ไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาท ส่วนบริษัทจำกัด ไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 10 ล้านบาทและมีช่องทางธุรกิจที่สามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยลูกหนี้ต้องยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง พร้อมแผนฟื้นฟูที่ได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหนี้ และหลักฐานการประชุมร่วมกัน เพื่อให้ศาลพิจารณาออกคำสั่ง เมื่อศาลมีคำสั่งรับคำร้องฟื้นฟูกิจการแล้ว เจ้าหนี้จะฟ้องหรือยึดทรัพย์ลูกหนี้ไม่ได้ และให้งดการยึดทรัพย์หรือขายทอดตลาดไว้ แต่ไม่ให้งดบริการไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ และลูกหนี้ยังสามารถขอสินเชื่อธุรกิจตามปกติได้
“ท่านนายกฯ ต้องการให้ทุกหน่วยงานพัฒนากฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ทันสมัยและเป็นสากล เช่นเดียวกับกฎหมายล้มละลาย โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ 3 ของเอเชียที่มีการพัฒนากฎหมายฟื้นฟูกิจการเพื่อช่วยเหลือสนับสนุน SMEs รองจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และสนับสนุนข้อดีในการประเมินความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลกอีกด้วย” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว