โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ระบุเหตุใช้กฎหมายดำเนินการ 3 เอ็นจีโอ เพราะข้อมูลที่นำเสนอเป็นเท็จ ทำเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่เสื่อมเสียชื่อเสียง เกียรติภูมิ และความเชื่อมั่น เผยประสานองค์กรทำรายงานเพื่อร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงแต่ถูกเมิน ฉะฮิวแมนไรต์วอตช์ขาดการตรวจสอบข้อเท็จจริงรอบด้าน สุ่มเสี่ยงต่อการส่งเสริมสนับสนุนใช้กฎหมู่ให้อยู่เหนือกฎหมาย
พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) เปิดเผยถึงกรณีสำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) และฮิวแมนไรต์วอตช์ ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. เรียกร้องให้รัฐให้ความเป็นธรรม และเคารพในหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ แบบสองมาตรฐาน รวมทั้งให้ถอนฟ้อง 3 นักสิทธิมนุษยชน พร้อมกับยังได้เรียกร้องให้เครือข่ายองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ช่วยกันรณรงค์ปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนดังที่เป็นข่าวไปแล้วนั้น ว่าทาง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ขอชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจถึงความเป็นมาในเรื่องดังกล่าวนี้ เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 59 น.ส.อัญชนา หีมมิน๊ะห์ ประธานกลุ่มด้วยใจ ได้ยื่นหนังสือให้ พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยฯ และ พล.ท.วิวรรธน์ ปฐมภาคย์ แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผอ.รมน.ภาค 4 ที่ค่ายจุฬาภรณ์ จ.นราธิวาส เกี่ยวกับสถานการณ์การซ้อมทรมานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 4 ได้รับปากจะทำการตรวจสอบให้ข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน
ต่อมาวันที่ 10 ก.พ. 2559 กลุ่มเครือข่ายองค์กรที่จัดทำรายงานซึ่งประกอบด้วย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กลุ่มด้วยใจ และองค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี ได้ร่วมกันแถลงข่าวและเปิดตัวหนังสือ “รายงานสถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือ ย่ำยีศักดิ์ศรีในจังหวัดชายแดนภาคใต้ปี 2557-2558” ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และต่อมาภายหลังได้มีการนำไปเผยแพร่ ผ่านสื่อต่างๆ อย่างกว้างขวาง
พ.อ.ปราโมทย์กล่าวต่อว่า ในส่วนการดำเนินการนั้น ทางแม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งการให้หน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริง ด้วยความโปร่งใส เพื่อนำมาสู่การลงโทษผู้กระทำความผิด และใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้เป็นที่ยอมรับ และสร้างความเชื่อมั่นโดยเร่งด่วนต่อไป รวมทั้งได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวอีกทางหนึ่งด้วย โดยคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้จัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากรายงานดังกล่าว จำนวน 54 ราย พบว่าสามารถตรวจสอบและระบุตัวบุคคลได้เพียง 18 ราย ซึ่งผลจากการตรวจหลักฐานที่หน่วยนำมาชี้แจง ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการควบคุมตัว ไม่พบหลักฐานที่น่าเชื่อได้ว่ามีการซ้อมทรมานแต่อย่างใด ทั้งนี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้เชิญ น.ส.อัญชนา มาร่วมประชุมหารือ รวมทั้งได้ประสานขอข้อมูลบุคคลที่กล่าวอ้างกับผู้จัดทำรายงานอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง เพื่อร่วมกันตรวจสอบความจริงให้ปรากฏ แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากบุคคล และองค์กรที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด
พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวว่า เหตุผลและความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งทาง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องในการประสานความร่วมมือกับองค์กรที่จัดทำรายงานเพื่อร่วมกันตรวจสอบความจริงให้ปรากฏ แต่ไม่ได้รับความร่วมมือแต่อย่างใด จึงถือเป็นการเจตนาจงใจปกปิดข้อมูลโดยใช้เหยื่อเป็นเครื่องมือในการจัดทำรายงาน ไม่ใช่การนำไปสู่การตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อเยียวยา และหาแนวทางแก้ไขตามที่กล่าวอ้าง และในขณะเดียวกัน ได้นำเอกสารดังกล่าวออกไปเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ อย่างกว้างขวาง ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งอาจทำให้สังคมเข้าใจผิดส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงเกียรติภูมิ และความเชื่อมั่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน นอกจากนี้ยังมีบางประเด็นที่สำคัญ เช่น “โดนให้เปลือยกายในห้องเย็นต่อหน้าเจ้าหน้าที่ทหารพรานหญิง และโดนทหารพรานหญิงเอาหน้าอกมาแนบที่ใบหน้า” ถือเป็นการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของสตรีอย่างร้ายแรง
“เพื่อธำรงและรักษาไว้ซึ่งการแก้ไขปัญหาตามแนวทางสันติวิธี จึงจำเป็นต้องอาศัยกลไกทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเพื่อนำไปสู่การแสวงหาความจริงร่วมกันในชั้นศาล ด้วยการเข้าร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานสอบสวน โดยเชื่อมั่นว่าหากพยานหลักฐานมีอยู่จริงผู้จัดทำรายงานต้องนำมาเป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาล แต่หากข้อมูลไม่มีอยู่จริงหรือมีเจตนาบิดเบือนผู้จัดทำรายงานก็สมควรได้รับโทษตามกฎหมายในฐานะที่เป็นผู้ละเมิดสิทธิ ทำลายเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และสิทธิขั้นพื้นฐานของเจ้าหน้าที่รัฐผู้ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเทเสียสละและหน่วยงานของรัฐที่พยายามมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อลดเงื่อนไขหล่อเลี้ยงความรุนแรง พร้อมทั้งขอยืนยันว่า รัฐจะให้ความคุ้มครองทางกฎหมายต่อประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม แต่รัฐไม่สามารถเพิกเฉยหรือเลือกปฏิบัติต่อผู้ที่ละเมิดสิทธิผู้อื่น หรือกระทำผิดกฎหมายได้ ดังนั้น การออกมาเรียกร้องของกลุ่ม LEMPAR และฮิวแมนไรต์วอตช์ โดยขาดการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านจะสุ่มเสี่ยงต่อการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้กฎหมู่ให้อยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งจะเป็นบัญหาและอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้”