ป้อมพระสุเมรุ
ไปทีละรายสองราย “กรรมเก่า” กำลังไล่เก็บแต้มทยอยเช็กบิล
ล่าสุด เป็นคิวของ “ชูชีพ หาญสวัสดิ์” อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ และ “วิทยา เทียนทอง” อดีตเลขานุการ รมว.เกษตรฯ หรือหน้าห้อง “รมต.ชูชีพ” นั่นเอง ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกคนละ 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และร่วมกับฮั้วประมูลการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์เพื่อแจกเกษตรกรที่เดือดร้อน ของกรมส่งเสริมการเกษตร ช่วงปี 2544 - 2545 ในสมัยรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” มูลค่ากว่า 367 ล้านบาท
จากคำพิพากษาชี้ให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตร มีพฤติการณ์ “ฮั้ว” กับทางชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งชาติ โดยไม่มีหลักฐานว่า “ชูชีพ - วิทยา” ได้รับเงินหรือผลประโยชน์ แต่มีความผิดที่ไม่ยับยั้งและไม่ตั้งกรรมการสอบสวนโครงการ ตามคำทักท้วงของปลัดกระทรวงเกษตรฯ (ในขณะนั้น) และคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร (ในขณะนั้น) จนมีการลงนามสัญญาในที่สุด โดยก่อนหน้านี้ ผู้เกี่ยวข้องรายอื่น ทั้งข้าราชการระดับสูงและเอกชนก็ได้ถูกดำเนินคดีไปตามกระบวนการแล้ว
เป็น “ชูชีพ” แห่งตระกูลหาญสวัสดิ์ ที่เคยถูกยกให้เป็น “เจ้าพ่อเมืองปทุม” ครั้งนึงผูกขาดอำนาจบริหารท้องถิ่นทุกตำแหน่งในเมืองดอกบัว จ.ปทุมธานี มาแล้ว วันนี้ต้องมารับเคราะห์กรรมคิดตารางช่วงบั้นปลายชีวิตในวัย 72 ปี อีกคน “วิทยา” แห่งตระกูลเทียนทอง ที่ปีนี้อายุ 75 ปี เป็นน้องชาย “ป๋าเหนาะ” เสนาะ เทียนทอง เจ้าของฉายา “เจ้าพ่อวังน้ำเย็น” ผู้ยิ่งใหญ่
ชะตากรรมของ “ชูชีพ - วิทยา” น่าจะสร้างความสะพรึง ให้แก่บรรดา “นักการเมือง - ข้าราชการ” ที่เข้าคิวในคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันพอสมควร เพราะกรณีของ “ชูชีพ - วิทยา” นั้นพยาน - หลักฐานไม่ได้ชี้ชัดว่าทั้งคู่มีพฤติกรรมทุจริต แต่ไม่ยับยั้งโครงการ ก็ถูกตัดสินให้ต้องโทษจำคุก และก็เชื่อว่า ทั้งคู่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะถูกพิพากษาให้ติดคุก เนื่องจากมีความมั่นใจว่าความผิดโยงมาไม่ถึงตัวเอง
จึงได้เห็นทั้ง “ชูชีพ - วิทยา” เดินทางมาฟังคำพิพากษาก่อนถูกหิ้วส่งเข้าเรือนจำไปตามระเบียบ
ผิดวิสัยกับนักการเมืองหลายรายที่เลือกจะหลบหนี หากรู้ชะตากรรมว่าต้องไปอยู่ในเรือนจำ ไล่ตั้งแต่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีทุจริตการซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ถูกพิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา “วัฒนา อัศวเหม” เจ้าพ่อปากน้ำ อดีต รมช.มหาดไทย ถูกพิพากษาจำคุก 10 ปี ไม่รอลงอาญา ในคดีเกี่ยวกับโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน และ “ประชา มาลีนนท์” อดีต รมช.มหาดไทย ถูกพิพากษาจำคุก 12 ปี ไม่รอลงอาญา ในคดีทุจริตจัดซื้อรถ - เรือดับเพลิง กทม.
เชื่อว่า ทั้ง 3 คนที่กล่าวไป คงไม่ใช่รายสุดท้ายในการหลบหนีความผิดเพื่อไปใช้ชีวิตสุขสบายที่ต่างประเทศ เพราะเมื่อตรวจสอบแล้ว ก็พบว่ายังมี “นักการเมือง - ข้าราชการ” อีกเพียบที่รอเข้าคิวชดใช้ “กรรมเก่า” มีคดีความรอให้เคลียร์อยู่อีกอื้อ โดยเฉพาะบรรดาคนใน “ระบอบทักษิณ”
ไม่ต้องอื่นไกล คนในตระกูล “ชินวัตร” นี่เอง ทั้ง “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯคนสวย น้องสาวของ “พี่ษิณ” เอง ก็ยังง่วนอยู่กับการขึ้นศาลเพื่อต่อสู้ในคดีปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวไม่เว้นแต่ละสัปดาห์ ถัดมาก็เป็น “ลูกโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของ “พ่อแม้ว” ที่ติดหล่มอยู่ในคดีฟอกเงิน เกี่ยวกับกรณีที่ธนาคารกรุงไทย ปล่อยกู้เครือกฤษดามหานครโดยทุจริต ตอนนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่วนตัว “พ่อแม้ว” เอง ก็มีชื่อเป็นจำเลยในคดีแบงก์กรุงไทยปล่อยกู้ แต่ศาลสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว เนื่องจากหลบหนี เช่นเดียวกับอีกหลายคดี
“บุญทรง เตริยาภิรมย์” อดีต รมว.พาณิชย์ “ภูมิ สาระผล” อดีต รมช.พาณิชย์ และ “นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ” อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็เจอคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยทุจริต หรือที่เรียกกันว่า “จีทูเจี๊ยะ” อยู่ในตอนนี้ แต่คดีนี้คาดว่าจะใช้เวลานานพอสมควร เพราะพยาน - หลักฐานในคดีนี้มีค่อนข้างมาก ล่าสุด “หมอวีระวุฒิ” จำเลยคนสำคัญก็ได้หลบหนีคดีไปแล้ว
ยังมีในรายของ “ประชา ประสพดี” อดีต รมช.มหาดไทย ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาถอดถอนของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตามที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งเรื่องให้ดำเนินการ กรณีเข้าไปก้าวกายแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการ (บอร์ด) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ที่กำลังพิจารณาเรื่องการทุจริตของ “ธีธัช สุขสะอาด” อดีต ผอ.อ.ต.ก. กำหนดวันไต่สวนนัดแรกวันที่ 30 มิถุนายนนี้
นอกจากนี้ ยังมีคดีเก่าเก็บของ “หมอเลี๊ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีหลายตำแหน่งในรัฐบาลทักษิณ ที่ว่ากันว่า เป็น “กุนซือคู่ใจ” ของนายใหญ่ มีคดีค้างอยู่ 2 คดี ได้แก่ กรณีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการตั้งกรรมการสรรหา บอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในสมัยเป็น รมว.คลัง และอีกคดีเป็นเรื่องการอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศเอื้อประโยชน์ให้แก่ “กลุ่มชินคอร์ป” ซึ่งทั้ง 2 คดีคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
คดีสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อปี 2551 ที่อยู่ในชั้นศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีการเริ่มเบิกความพยานไปแล้วหลายนัด ก็มีจำเลยคนสำคัญทั้ง “ชายจืด” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ “บิ๊กเบื๊อก” พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น.
โดยคดีนี้มีความน่าสนใจตรงที่ 3 ใน 4 จำเลยได้ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ถอนฟ้องคดีจากศาลฎีกาฯ โดยที่สังคมกำลังจับตาการตัดสินใจของ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. คนปัจจุบัน ที่ถูกมองว่า มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด “บ้านวงษ์สุวรรณ” และพยายามเอื้อประโยชน์ให้แก่ “บิ๊กป๊อด” ที่เป็นน้องชายของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้มากบารมีแห่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยล่าสุด คณะทำงาน ป.ป.ช. ได้ทำรายงานสรุปเสนอ “บิ๊กกุ้ย” แล้วว่าไม่ควรถอนฟ้อง แต่ก็ยังไม่มีการนำเรื่องเข้าพิจารณาในที่ประชุมใหญ่ ป.ป.ช. แต่อย่างใด
ทั้งหมดเป็นในส่วนของคดีความของ “คนระบอบทักษิณ” ที่ยังมีโอกาสพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม แต่สุดท้ายแล้วหากประเมินแล้วว่าคำพิพากษาอาจจะออกมาไม่เป็นผลดีกับตัวเอง บุคคลเหล่านี้จะตัดสินใจอย่างไร จะยินยอมชดใช้ “กรรมเก่า” ตามอย่าง “ชูชีพ - วิทยา” ยอมเข้าคุกรับโทษดี ๆ หรือจะเลือกหลบหนีความผิดตามรอยหัวขบวนอย่าง “ทักษิณ” หรือไม่