xs
xsm
sm
md
lg

ศาล ปค.โอดเป็นจำเลยสังคมคดีคลองด่าน ชี้ ยังไม่ยื่นรื้อคดีส่งผลคำพิพากษาเดินต่อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ทีมโฆษกศาลปกครอง แถลง โอดตกเป็นจำเลยสังคมคดีค่าโง่คลองด่าน ยันนำคำพิพากษาศาลฎีกาคดีทางด่วนมาเทียบเคียงไม่ได้ รวมทั้ง 2 คดีอาญาในศาลยุติธรรม ก็เป็นคนละประเด็นกับที่เรื่องการก่อสร้างบ่อบำบัด ชึ้ ถึงวันนี้ยังไม่ยื่นร้องขอรื้อคดีใหม่ หรือขอระงับการบังคับคดีจ่ายค่าเสียหายงวด 2 ส่งผลให้การบังคับคดีตามคำพิพากษายังต้องเดินต่อ

วันนี้ (6 มิ.ย.) สำนักงานศาลปกครองได้จัดแถลงข่าวเปิดตัวทีมโฆษกสำนักงาน ซึ่งประกอบด้วย นายสมชาย งามวงศ์ชน ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด โฆษกศาลปกครอง นายประวิตร บุญเทียม ตุลาการศาลปกครองสูงสุด และ น.ส.สายทิพย์ สุคติพันธ์ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองชั้นต้นประจำศาลปกครองสูงสุด รองโฆษกศาลปกครอง โดย นายสมชาย กล่าวกรณีค่าโง่คลองด่าน ว่า ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองตกเป็นจำเลยสังคม เพราะไปพิพากษาให้รัฐต้องจ่ายค่าเสียหายให้เอกชน 9 พันกว่าล้านบาท โดยข้อเท็จจริงคดีนี้ ศาลชี้ไปตามที่อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย ซึ่งตามมาตรา 40 ของ พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ ได้กำหนดลักษณะที่ศาลจะมีคำพิพากษาเพิกถอนคำวินิจฉัยอนุญาโตตุลาการไว้ค่อนข้างจำกัด ไม่เหมือนคดีอื่น ๆ ที่มีการร้องต่อศาลปกครองซึ่งศาลสามารถแสวงหาข้อเท็จจริงเองได้

ส่วนกรณีที่มีการยกคำพิพากษาศาลฎีกาที่เพิกถอนคำวินิจฉัยอนุญาโตตุลาการที่วินิจฉัยให้รัฐต้องจ่ายค่าโง่ทางด่วนเมื่อปี 2552 มาเทียบเคียงกับคดีนี้ โดยมองว่า รายละเอียดคดีคล้ายคลึงกัน ทำไมศาลปกครองจึงไม่พิพากษาเพิกถอนนั้น ถ้าคนที่ไมได้ดูในรายละเอียดของสำนวนก็จะเข้าใจแบบนั้น แต่ถ้าไปดูจะเห็นว่า คดีของศาลฎีกามีการฟ้องว่าคำวินิจฉัยอนุญาโตฯ ไม่ชอบ มีการตั้งประเด็นว่าสัญญาเป็นโมฆะ เนื่องจากผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ทุจริต และผู้ที่ทำหน้าที่อนุญาโตฯมีส่วนได้เสียการวินิจฉัยเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งเมื่อศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ก็เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏชัดก็ทำให้การดำเนินการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตฯนั้น จะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงพิพากษาเพิกถอน แต่กรณีคลองด่าน แม้จะตั้งประเด็นสัญญาเป็นโมฆะเหมือนกัน แต่อ้างว่า 1. เพราะสำคัญผิดในคู่กรณีที่เป็นคู่สัญญา คือ ก่อนทำสัญญาเข้าใจว่า เป็นบริษัท นอร์ทเวต แต่พอจะทำสัญญา กลายเป็นบริษัทนี้ถอนตัว 2. สำคัญผิดในทรัพย์สิน คือ ที่ดินที่นำมาสร้างบ่อบำบัด ซึ่งทั้งสองประเด็นในชั้นอนุญาโตฯก็มีการวินิจฉัยข้อเท็จจริง ว่า ประเด็นแรก มีการแจ้งกรมควบคุมมลพิษแล้วว่าจะเปลี่ยนจากบริษัท นอร์ทเวต มาเป็นบริษัทร่วมทุน ซึ่งอธิบดีกรมฯก็ยินยอม ส่วนประเด็นที่สอง ที่ดินนี้ นายวัฒนา อัศวเหม ไปกว้านซื้อมาแล้วมาขายบริษัท ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า บริษัทรู้เห็นมาก่อนว่าที่ดินนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่มาของเหตุในการอ้างของทั้งสองเรื่อง มันคนละอย่างกัน ส่วนที่อ้างว่า มี 2 คดีอาญาที่อยู่ในการพิจารณาของศาลยุติธรรมยังไม่สิ้นสุด คือ คดีที่กรมควบคุมมลพิษ ฟ้องบริษัทเอกชน และนายวัฒนา ว่า ฉ้อโกงเอาที่ดินมาขาย กับคดีที่เจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต แต่ทั้งสองคดีนี้ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับที่ดิน ไม่ได้เกี่ยวกับการก่อสร้างสถานีบ่อบำบัดน้ำเสีย

ด้าน นายประวิตร กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มายื่นขอให้รื้อคดีใหม่ นายประพัฒน์ ไม่ได้เป็นผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งก็ต้องถือว่า ขณะนี้การบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่วินิจฉัยตามคำชี้ขาดของอนุญาโตฯ ว่า รัฐต้องจ่ายค่าเสียหาย 9 พันกว่าล้าน ยังคงอยู่ ที่ว่ามีการอายัดการจ่ายเงินค่าเสียหายงวด 2 งวด 3 หรือรัฐบาลบอกจะรื้อคดีใหม่ ก็ยังเป็นแค่ “จะ” อยู่ กรมควบคุมมลพิษเองก็ไม่มีการยื่นคำร้องขอปฏิเสธการชำระเงินงวด หรือรัฐบาลที่บอกจะยื่นขอให้รื้อคดีใหม่ก็ยังไม่มีเข้ามา ถ้ามีการยื่นมาก็อยู่ที่ศาลจะพิจารณารับหรือไม่รับ และการยื่นขอพิจารณาคดีใหม่เป็นเหตุให้ศาลต้องหยุดการบังคับคดีหรือไม่ นอกจากที่ว่า กรมควบคุมมลพิษ จะใช้วิธีวางทรัพย์ คือ เสียค่าเสียหายงวด 2 ไว้กับศาลก่อน เพื่อหยุดการเดินของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสู้คดี ก็สามารถทำได้ เนื่องจากตาม พ.ร.บ. วิธีพิจารณาของศาลปกครอง ในเรื่องการบังคับคดีให้เอาประมวล วิ.แพ่ง มาใช้โดยอนุโลมได้อยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้การยื่นขอรื้อคดีจะทำให้ศาลปกครองสามารถเข้าไปตรวจสอบในเนื้อหาของคดีได้ แต่กฎหมายก็กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคดีใหม่ไว้ เช่น ศาลฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด หรือมีพยานหลักฐานใหม่ที่ทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นที่ยุติแล้วเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ คู่กรณีที่แท้จริง หรือบุคคลภายนอกมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี หรือเข้ามาแล้วถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณา หรือมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดี่ไม่มีความยุติธรรม เป็นต้น รวมทั้งต้องพิจารณาหลักเกณฑ์ตามมาตรา 40 พ.ร.บ.อนุญาโตฯ ที่ระบุว่า การบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตฯนั้น เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือไม่ด้วย ซึ่งคำว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยฯ ความหมายมันค่อนข้างกว้างมาก


กำลังโหลดความคิดเห็น