สะเก็ดไฟ
ตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามายึดอำนาจรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โครงการต่างๆที่ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ถูกเดินหน้าสอบสวนความโปร่งใสกราวรูด เด่นสุดต้องยกให้โครงการ มหาประชานิยมอย่างรับจำนำข้าวทุกเมล็ด ที่ตอนนี้มีคดีความอาญา ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จน“ยิ่งลักษณ์” ต้องเดินขึ้นศาลประจำ
อีกทั้งยังมีการเรียกเก็บค่าเสียหายจากโครงการดังกล่าว ที่ตัวเลขจะชัดเจนในเดือน ก.ค. ตามที่นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง กรณีเรียกค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวบอกไว้ แว่วว่าต้องชดใช้เป็นเงินมากมหาศาล เพราะในการสืบพยานในศาลฎีกานักการเมือง ฝ่ายตรวจสอบความเสียหายบอกว่ามีตัวเลขสูงถึง 2 แสนล้านบาท
เรื่องข้าวจะจบแบบไหนยังไม่รู้ ผิดไม่ผิดอย่างใร ผู้ชดใช้ความเสียหายจะเป็นใคร เพราะเรื่องเพิ่งเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม “ยิ่งลักษณ์”ยังต้องเมื่อยเดินเข้าออกศาลนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองให้ได้ และไม่ใช่แต่เฉพาะตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์เท่านั้น ความลำบากที่รออยู่คือคนในครอบครัวชินวัตร และเครือข่ายด้วย เพราะทำกันเป็นขบวนการ
แต่คงรอกันไม่นานนัก ชั่วโมงนี้อยู่ในยุคดิจิตอลกรรมติดจรวด คดีอาญาอาจรอหน่อย แต่ค่าเสียหายทางแพ่ง กุมภาพันธ์ ปี60 ก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้รู้กันแน่นอน
โครงการรับจำนำข้าวเป็นแผลสดที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่แผลเก่าที่เป็นผลพวงการปราบขี้ฉ้อในสมัย นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี เริ่มทยอยให้เห็นกันแล้วในยุค “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
เพราะทันทีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษายืน ตามศาลชั้นต้นลงโทษ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และปริญญา นาคฉัตรีย์ อดีต กกต. ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คนละ 2 ปี กรณีไม่เร่งสืบสวนสอบสวนคดีพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง เมื่อปี 49 ที่ต้องยกความดีความชอบให้กับ “เทพเทือก” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หัวหมู่ทะลวงฟันค่ายประชาธิปัตย์ขณะนั้น ที่ลงแรงหาข้อมูลเรื่องจ้างพรรคเล็กลงแข่งขันกับพรรคไทยรักไทย หลีกเลี่ยงเงื่อนไขต้องได้คะแนนเสียงร้อยละ 20 หากมีผู้สมัครลงเลือกตั้งเพียงพรรคเดียว หลังบรรดาพรรคการเมืองจับมือไม่ยอมรับการเลือกตั้ง ส่งผลให้มีการยุบพรรคไทยรักไทย จน “นายใหญ่” ต้องตั้งพรรค พลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย มาเป็นร่างทรงในวันนี้
เรื่องนี้ส่งแรงกระเพื่อมถึงเครือข่าย “นายใหญ่” ทันที ต้องนอนผวาฝันกระเจิงกันเป็นแถว เพราะอะไรที่ทำไว้ตอนเรืองอำนาจ กำลังจะกลับมาย้อนรอยเอาคืนให้ต้องรับผิดชอบ
ยังมีอีกเรื่องที่เจอเข้าแล้วอีกงาน คือปมที่นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีตรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพิ่งโดนคำสั่งที่ 115/2559 ลงวันที่ 11 พ.ค. 2559 เรื่องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน วงเงินกว่า 6 พันล้านบาท ของกรมควบคุมมลพิษ โดยคำสั่งระบุว่า นายประพัฒน์ เป็นต้นเหตุให้รัฐเสียค่าโง่ โครงการบำบัดน้ำเสียคลองด่าน มูลค่าความเสียหายหมื่นกว่าล้านบาท
คำสั่งนี้เป็นผลพวงจาก รัฐบาลคสช. ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ หลัง ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ให้กรมควบคุมมลพิษ จ่ายค่าเสียหายให้แก่ บริษัทวิจิตรภัณฑ์ กับ พวกเป็นเงิน เกือบหมื่นล้านบาท
สืบสาวราวเรื่องแล้ว ประพัฒน์ เมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพย์ฯ ได้ตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบและเสนอแนะการบริหารสัญญาโครงการจัดการน้ำเสีย(คลองด่าน) โดยไม่มีผู้แทนของกรมควบคุมมลพิษเข้าไปมีส่วนร่วมให้ข้อมูล ทำให้ขาดพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือ แต่กลับมีคำสั่งเด็ดขาดให้บริษัทที่รับงานยุติการก่อสร้าง ทั้งที่โครงการทำไปแล้ว 98 เปอร์เซ็น เหลือเพียงการเดินระบบเท่านั้น ส่งผลให้รัฐได้รับความเสียหาย จึงต้องมาชดใช้ในวันนี้
โครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านเป็นโครงการใหญ่ มีคนเข้าไปเกี่ยวข้องจำนวนมาก ภาครัฐที่เกี่ยวข้องก็คือ กรมควบคุมมลพิษ ที่กำลังหาคนรับผิดชอบค่าเสียหาย และกระทรวงการคลังเจ้าของเงินที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายในนามรัฐบาล รวมถึงกลุ่มเอกชนที่รอรับค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการยกเลิกสัญญา
เรื่องนี้ คณะรัฐมนตรีคสช. เพิ่งมีมติ ให้กระทรวงการคลัง ยื่นเรื่องต่อศาลปกครองให้พิจารณาคดีใหม่อีกครั้งเพราะมีหลักฐานใหม่เพิ่งปรากฏออกมา หากมีคำตัดสินในทางที่ดีรัฐอาจไม่ต้องชดใช้เงินส่วนที่เหลือ
ที่ว่ามานี้คือเรื่องของคดีความที่ต้องติดตามว่ามหากาพย์นี้ สุดท้ายจะจบลงอย่างไร
แต่ในแง่การเมือง สิ่งที่นายประพัฒน์ ทำไปหากมองว่าไม่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณ ผู้เรืองอำนาจในขณะนั้นเลยคงโลกสวยเกินไป
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าในขณะนั้น “พรรคไทยรักไทย” ควบคุมประเทศไทยทุกหัวระแหงยิ่งกว่ายุค “ยุคอัศวินผยอง” ในอดีตที่ลั่นวาทะ “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” เพราะตอนนั้นนายทักษิณ ผู้มียศพันตำรวจโท มีความยิ่งใหญ่ ต้องการทำตัวเป็น “ก็อดฟาเธอร์” วางตัวเป็น “ดอนชินวัตร” เที่ยวยื่นข้อเสนอที่พรรคการเมืองต่างๆไม่อาจปฏิเสธได้ หวังควบรวมพรรคการเมืองทั้งหมดมาไว้ในมือ ให้การบริหารงานของประเทศ เบ็เเสร็จภายใต้ “ครอบครัวชินวัตร”
การยุติโครงการบ่อบำนัดน้ำเสียคลองด่านในครั้งนั้น ก็เป็นขั้นตอนหนึ่งของ “ก็อดฟาเธอร์” ในการต้อนนักการเมืองไทย เข้าคอกไทยรักไทย เพราะรู้กันดีว่าผู้รับเหมาโครงการนี้ ล้วนมีความสัมพันธ์พิเศษกับ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาในขณะนั้น เมื่อหยุดอภิมหาโครงการนี้ พรรคการเมืองที่สนิทชิดเชื้อ ก็ได้รับผลกระทบด้วย จนที่สุดสุวัจน์ต้องตัดใจ ประกาศยุบพรรคการเมืองเก่าแก่ชาติพัฒนาเดินออกมาจากซอยราชวิถี ไปเป็นส่วนหนึ่งของพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของนายทักษิณ
แม้เบื้องลึกเบื้องหลังโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จะมีข่าวการทุจริตมากแค่ไหน ก็ควรตามคนผิดที่ไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมมาลงโทษ แต่ไหนๆก็ไหนๆ เมื่อโครงการใกล้จะเสร็จแล้ว ควรให้ประชาชนได้ประโยชน์ด้วย ไม่ใช่ให้เด็กรุ่นหลังมาเห็นเพียงอนุสรณ์การทุจริตของนักการเมืองไทย
นี่เป็นเพียง 2 เรื่อง ที่คนเครือข่ายนายใหญ่ต้องรับกรรม เป็นการส่งสัญญาญเตือนเครือข่าย “ครอบครัวชินวัตร” ที่มีชนักติดหลังว่าอย่าหลงระเริง เพราะอำนาจตอนนี้อยู่ในมือ คสช. โครงการใหญ่ๆตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่มีนักการเมืองเข้าไปมีส่วนร่วมแทบทั้งสิ้น และพร้อมจะหยิบยกมาปัดฝุ่นทิ่มแทงได้ตลอดเวลา.
ตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามายึดอำนาจรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โครงการต่างๆที่ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ถูกเดินหน้าสอบสวนความโปร่งใสกราวรูด เด่นสุดต้องยกให้โครงการ มหาประชานิยมอย่างรับจำนำข้าวทุกเมล็ด ที่ตอนนี้มีคดีความอาญา ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จน“ยิ่งลักษณ์” ต้องเดินขึ้นศาลประจำ
อีกทั้งยังมีการเรียกเก็บค่าเสียหายจากโครงการดังกล่าว ที่ตัวเลขจะชัดเจนในเดือน ก.ค. ตามที่นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง กรณีเรียกค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวบอกไว้ แว่วว่าต้องชดใช้เป็นเงินมากมหาศาล เพราะในการสืบพยานในศาลฎีกานักการเมือง ฝ่ายตรวจสอบความเสียหายบอกว่ามีตัวเลขสูงถึง 2 แสนล้านบาท
เรื่องข้าวจะจบแบบไหนยังไม่รู้ ผิดไม่ผิดอย่างใร ผู้ชดใช้ความเสียหายจะเป็นใคร เพราะเรื่องเพิ่งเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม “ยิ่งลักษณ์”ยังต้องเมื่อยเดินเข้าออกศาลนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองให้ได้ และไม่ใช่แต่เฉพาะตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์เท่านั้น ความลำบากที่รออยู่คือคนในครอบครัวชินวัตร และเครือข่ายด้วย เพราะทำกันเป็นขบวนการ
แต่คงรอกันไม่นานนัก ชั่วโมงนี้อยู่ในยุคดิจิตอลกรรมติดจรวด คดีอาญาอาจรอหน่อย แต่ค่าเสียหายทางแพ่ง กุมภาพันธ์ ปี60 ก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้รู้กันแน่นอน
โครงการรับจำนำข้าวเป็นแผลสดที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่แผลเก่าที่เป็นผลพวงการปราบขี้ฉ้อในสมัย นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี เริ่มทยอยให้เห็นกันแล้วในยุค “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
เพราะทันทีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษายืน ตามศาลชั้นต้นลงโทษ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และปริญญา นาคฉัตรีย์ อดีต กกต. ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คนละ 2 ปี กรณีไม่เร่งสืบสวนสอบสวนคดีพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง เมื่อปี 49 ที่ต้องยกความดีความชอบให้กับ “เทพเทือก” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หัวหมู่ทะลวงฟันค่ายประชาธิปัตย์ขณะนั้น ที่ลงแรงหาข้อมูลเรื่องจ้างพรรคเล็กลงแข่งขันกับพรรคไทยรักไทย หลีกเลี่ยงเงื่อนไขต้องได้คะแนนเสียงร้อยละ 20 หากมีผู้สมัครลงเลือกตั้งเพียงพรรคเดียว หลังบรรดาพรรคการเมืองจับมือไม่ยอมรับการเลือกตั้ง ส่งผลให้มีการยุบพรรคไทยรักไทย จน “นายใหญ่” ต้องตั้งพรรค พลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย มาเป็นร่างทรงในวันนี้
เรื่องนี้ส่งแรงกระเพื่อมถึงเครือข่าย “นายใหญ่” ทันที ต้องนอนผวาฝันกระเจิงกันเป็นแถว เพราะอะไรที่ทำไว้ตอนเรืองอำนาจ กำลังจะกลับมาย้อนรอยเอาคืนให้ต้องรับผิดชอบ
ยังมีอีกเรื่องที่เจอเข้าแล้วอีกงาน คือปมที่นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีตรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพิ่งโดนคำสั่งที่ 115/2559 ลงวันที่ 11 พ.ค. 2559 เรื่องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน วงเงินกว่า 6 พันล้านบาท ของกรมควบคุมมลพิษ โดยคำสั่งระบุว่า นายประพัฒน์ เป็นต้นเหตุให้รัฐเสียค่าโง่ โครงการบำบัดน้ำเสียคลองด่าน มูลค่าความเสียหายหมื่นกว่าล้านบาท
คำสั่งนี้เป็นผลพวงจาก รัฐบาลคสช. ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ หลัง ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ให้กรมควบคุมมลพิษ จ่ายค่าเสียหายให้แก่ บริษัทวิจิตรภัณฑ์ กับ พวกเป็นเงิน เกือบหมื่นล้านบาท
สืบสาวราวเรื่องแล้ว ประพัฒน์ เมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพย์ฯ ได้ตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบและเสนอแนะการบริหารสัญญาโครงการจัดการน้ำเสีย(คลองด่าน) โดยไม่มีผู้แทนของกรมควบคุมมลพิษเข้าไปมีส่วนร่วมให้ข้อมูล ทำให้ขาดพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือ แต่กลับมีคำสั่งเด็ดขาดให้บริษัทที่รับงานยุติการก่อสร้าง ทั้งที่โครงการทำไปแล้ว 98 เปอร์เซ็น เหลือเพียงการเดินระบบเท่านั้น ส่งผลให้รัฐได้รับความเสียหาย จึงต้องมาชดใช้ในวันนี้
โครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านเป็นโครงการใหญ่ มีคนเข้าไปเกี่ยวข้องจำนวนมาก ภาครัฐที่เกี่ยวข้องก็คือ กรมควบคุมมลพิษ ที่กำลังหาคนรับผิดชอบค่าเสียหาย และกระทรวงการคลังเจ้าของเงินที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายในนามรัฐบาล รวมถึงกลุ่มเอกชนที่รอรับค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการยกเลิกสัญญา
เรื่องนี้ คณะรัฐมนตรีคสช. เพิ่งมีมติ ให้กระทรวงการคลัง ยื่นเรื่องต่อศาลปกครองให้พิจารณาคดีใหม่อีกครั้งเพราะมีหลักฐานใหม่เพิ่งปรากฏออกมา หากมีคำตัดสินในทางที่ดีรัฐอาจไม่ต้องชดใช้เงินส่วนที่เหลือ
ที่ว่ามานี้คือเรื่องของคดีความที่ต้องติดตามว่ามหากาพย์นี้ สุดท้ายจะจบลงอย่างไร
แต่ในแง่การเมือง สิ่งที่นายประพัฒน์ ทำไปหากมองว่าไม่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณ ผู้เรืองอำนาจในขณะนั้นเลยคงโลกสวยเกินไป
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าในขณะนั้น “พรรคไทยรักไทย” ควบคุมประเทศไทยทุกหัวระแหงยิ่งกว่ายุค “ยุคอัศวินผยอง” ในอดีตที่ลั่นวาทะ “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” เพราะตอนนั้นนายทักษิณ ผู้มียศพันตำรวจโท มีความยิ่งใหญ่ ต้องการทำตัวเป็น “ก็อดฟาเธอร์” วางตัวเป็น “ดอนชินวัตร” เที่ยวยื่นข้อเสนอที่พรรคการเมืองต่างๆไม่อาจปฏิเสธได้ หวังควบรวมพรรคการเมืองทั้งหมดมาไว้ในมือ ให้การบริหารงานของประเทศ เบ็เเสร็จภายใต้ “ครอบครัวชินวัตร”
การยุติโครงการบ่อบำนัดน้ำเสียคลองด่านในครั้งนั้น ก็เป็นขั้นตอนหนึ่งของ “ก็อดฟาเธอร์” ในการต้อนนักการเมืองไทย เข้าคอกไทยรักไทย เพราะรู้กันดีว่าผู้รับเหมาโครงการนี้ ล้วนมีความสัมพันธ์พิเศษกับ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาในขณะนั้น เมื่อหยุดอภิมหาโครงการนี้ พรรคการเมืองที่สนิทชิดเชื้อ ก็ได้รับผลกระทบด้วย จนที่สุดสุวัจน์ต้องตัดใจ ประกาศยุบพรรคการเมืองเก่าแก่ชาติพัฒนาเดินออกมาจากซอยราชวิถี ไปเป็นส่วนหนึ่งของพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของนายทักษิณ
แม้เบื้องลึกเบื้องหลังโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จะมีข่าวการทุจริตมากแค่ไหน ก็ควรตามคนผิดที่ไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมมาลงโทษ แต่ไหนๆก็ไหนๆ เมื่อโครงการใกล้จะเสร็จแล้ว ควรให้ประชาชนได้ประโยชน์ด้วย ไม่ใช่ให้เด็กรุ่นหลังมาเห็นเพียงอนุสรณ์การทุจริตของนักการเมืองไทย
นี่เป็นเพียง 2 เรื่อง ที่คนเครือข่ายนายใหญ่ต้องรับกรรม เป็นการส่งสัญญาญเตือนเครือข่าย “ครอบครัวชินวัตร” ที่มีชนักติดหลังว่าอย่าหลงระเริง เพราะอำนาจตอนนี้อยู่ในมือ คสช. โครงการใหญ่ๆตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่มีนักการเมืองเข้าไปมีส่วนร่วมแทบทั้งสิ้น และพร้อมจะหยิบยกมาปัดฝุ่นทิ่มแทงได้ตลอดเวลา.