“ประยุทธ์” ให้กำลังใจทัพช้างศึกลงแข่งขันฟุตบอลคิงส์ คัพ ขอให้ชนะปราศจากข้อสงสัย ขออย่าเล่นพนันบอลยูโร ตำหนิ หน่วยงานที่ตัดต้นไม้ บอกควรย้ายสายไฟฟ้าก่อน รับเชิญ “ปธน.พม่า - ซูจี” มาเยือนเอง ลั่น การเมืองคือการเมือง เพื่อนคือเพื่อน ไม่คุยปัญหาโรฮีนจา ชี้ เป็นเรื่องของเวทีมั่นคง อวยพร ชาวมุสลิม ประสบความสำเร็จช่วงถือศีลอด ยันดูแลความปลอดภัยทุกศาสนาเท่าเทียม
วันนี้ (31 พ.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กล่าวส่งกำลังใจให้แก่นักฟุตบอลทีมชาติไทยที่จะแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ว่า คิงส์ คัพ เป็นถ้วยรางวัลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของเรามีทุกปี ตนก็คาดหวังว่า เราคงได้ชัยชนะ ตนจะไปสั่งให้ชนะมันก็ไม่ได้ แต่อยากให้กำลังใจ คนไทยทั้งประเทศติดตามให้กำลังใจมาตลอด ขอให้เล่นอย่างนักกีฬา ให้มันชนะโดยปราศจากข้อสงสัย ไม่ใช่ว่าไปขัดแย้งทะเลาะวิวาทกันในสนามต้องไม่เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เพราะจัดที่บ้านเราทุกปี เราเคยได้ที่ 1 บ้าง สุดท้ายบ้าง รองสุดบ้าง เป็นธรรมดา ถ้าเราไม่พร้อมก็ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าเราพร้อมก็เป็นที่ 1 ถ้าจะเป็นที่ 1 ต้องเป็นที่ 1 ปราศจากข้อสงสัยในฝีมือในความมีน้ำใจเป็นนักกีฬา ในการมีน้ำใจจากกองเชียร์ ทั้งหมดคือประเทศไทย ดังนั้น การเชียร์ก็ต้องไปสู่การเชียร์ที่สงบ และเชื่อฟังกรรมการ ถ้ากรรมการไม่ดีก็ไปฟ้องร้องกรรมการว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับกรรมการที่ไม่เป็นธรรม ตนก็ขอให้ได้ชัยชนะ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า เรื่องแฟนบอลก็ระมัดระวัง ฟุตบอลยูโรกำลังจะเริ่ม ตนเห็นหลายคนตั้งหน้าตั้งตานอนหัวค่ำตื่นตอนดึก อย่าให้มันเสียงาน และอย่าไปเล่นการพนันเลย ไม่มีใครได้ดีหรอก ตนเห็นหลายคนแล้ว เล่นการพนันแบบนี้เป็นหนี้เป็นสินเป็นล้านเป็นสิบ ๆ ล้าน ไม่เห็นมีใครรวยเลยสักคน ถ้าเงินเรามีเยอะแยะจนว่าไม่รู้จะใช้อะไร ตนไม่สนับสนุนให้เล่นการพนันอยู่แล้ว เอามาบริจาคช่วยคนจนดีกว่า บริจาครถราม้าช้างรถการเกษตรให้ชาวบ้านดีกว่าเอาไปเล่นการพนัน ส่วนเด็กนักเรียนก็ระมัดระวังอย่าไปเล่นเลยเงินก็น้อยอยู่แล้ว พ่อแม่ก็ลำบากกว่าจะได้เงินมาทุกบาททุกสตางค์ก็ยาก เล่นการพนันแป๊บเดียว ชนะก็ดีใจถ้าแพ้ก็หมดไป เขาเรียกว่า “หมดก้น” (หมดตูด) เดี๋ยวจะพูดไม่สุภาพ
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวว่า ได้มีการกำชับในเรื่องของการดูแลต้นไม้ การตัดต้นไม้ได้ตำหนิไปในหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องของการตัดต้นไม้ที่อาจจะเป็นแก้ปัญหาที่หนักหน่วง เช่น ต้นไม้ที่ไปเกี่ยวสายไฟฟ้า วิธีการของตน คือ ให้ลองไปคิดใหม่ดูว่า ถ้าต้นไม้ติดสายไฟฟ้า ก็ให้ย้ายสายไฟก่อนที่จะตัดต้นไม้ ปัญหานี้มีมานาน ที่ไม่ควรปลูกก็ปลูก ถนนเล็ก ๆ ที่ปลูกต้นไม้ก็สวยงามอยู่แล้ว ถ้าจะขยายถนนก็ต้องไปตัดต้นไม้ แล้วทำไมไม่ทำแนวถนนใหม่ ปรับสายไฟฟ้าใหม่ได้ไหม ต้องคิดแบบนี้ไม่อย่างนั้นก็ทะเลาะกันอยู่แบบนี้ เพราะมีงบประมาณในการปลูกต้นไม้ แต่พอจะให้ปลูกก็ไม่รู้ว่าจะไปปลูกตรงไหนอีก ก็ปลูกมันเสียตรงนี้ ก็กลายเป็นภาระเห็นหรือไม่ ต้นไม้ในกรุงเทพฯมันติดสายไฟฟ้า ก็ตัดจนดูไม่เป็นต้นไม้ ดูเป็นเหมือนคนพิการ เพราะมันปลูกไปแล้วไม่ได้ปลูกสมัยตน จึงต้องเรียนรู้ว่าวันข้างหน้าจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดขึ้น ถนนใหม่จะทำอย่างไร ต้นไม้เก่าจะรักษาได้บ้างหรือไม่ ถ้าจะย้ายต้นไม้หรือตัดตกแต่งต้นไม้ก็ไปปลูกต้นไม้สำรองรอไว้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อถึงกรณี นางออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ของเมียนมา มีกำหนดเดินทางเยือนประเทศไทยในวันที่ 23 - 25 มิ.ย. ว่า ตนเป็นคนเชิญมาเอง ทั้ง นายถิ่น จอ ประธานาธิบดีเมียนมาคนใหม่ และ นางออง ซาน จะมาทั้งสองคน ซึ่งตนได้เจอกับประธานาธิบดีที่ต่างประเทศได้คุยกันดี มีบุคลิกสุภาพเรียบร้อย เหมือนกับนายเต็งเส่ง อดีตประธานาธิบดีเมียนมา ส่วนเรื่องความขัดแย้งในประเทศเขาไม่มาถามมายุ่ง เพียงแต่เขาจะช่วย และตนก็จะช่วยประเทศเขาในเรื่องความปรองดองในชาติเขา ไม่ให้คนฝั่งเราไปสนับสนุนในทางที่ไม่ถูกต้องทำนองนี้ ต่างคนต่างร่วมมือกันแบบนี้
“การเมืองคือการเมือง เพื่อนคือเพื่อน คนละอย่างกัน ตนมีเพื่อนเยอะแยะเป็นทหารทั้งนั้น แต่เรื่องการเมืองพลเอก (อาวุโส) มิน ออง ไล ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา ก็ได้พูดกับผมในฐานะเป็นกลไกสำคัญในประเทศ ก็ขอร้องให้ตนช่วยสนับสนุนรัฐบาลเมียนมาที่มาใหม่ ทำไมคนอื่นไม่ทำกับผมแบบนี้บ้าง สำหรับวาระที่จะคุยกันเป็นการขับเคลื่อนต่อจากของเดิม เป็นความร่วมมือในทุกมิติ” นายกฯ กล่าว
ส่วนจะมีการพูดถึงปัญหาชาวโรฮีนจาหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการพูดในเวทีความมั่นคง โดยทั้งสองฝ่ายต่างมีเหตุผล แล้วเราจะไปอะไรนักหนา เป็นปัญหาภายในที่เขาต้องแก้ไม่ใช่หรือ โดยหลักการของอาเซียน คือ จะไม่ยุ่งกิจการภายในซึ่งกันและกัน ส่วนประเด็นสิทธิมนุษยชน โลกก็ไปพูดในอีกเวที ว่า จะมีการดำเนินการดูแลอย่างไร เราจะไปก้าวล่วงทำไม ปัญหาในประเทศยังไม่พอหรือไง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการดูแลความปลอดภัยในช่วงเดือนรอมฎอน ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ภาครัฐดูแลเหมือนทุกปี ให้ประชาชนเกิดความปลอดภัย แต่ความปลอดภัยไม่ได้เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเดียว ต้องเกิดจากการเฝ้าระวังของประชาชนด้วย สิ่งที่มีปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เวลานี้ คือ การเฝ้าระวัง และความเกรงกลัวในความไม่ปลอดภัย และคิดว่า สิ่งที่ภาครัฐดำเนินการเป็นการทำในกรอบของกฎหมาย อาจมีข้อบกพร่องอยู่บ้างก็ต้องแก้ที่ข้อกฎหมาย ไม่ใช่ใช้อาวุธมาสู้รบกันอยู่แบบนี้ด้านการพัฒนา เราก็เร่งเต็มที่จะเห็นว่ามีการอนุมัติงบประมาณลงไปเยอะมากในช่วงสองปีที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาหลายด้านทั้งถนนหนทาง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ปัญหาวันนี้คือ เราสร้างการลงทุนในพื้นที่ไม่ได้ เพราะความปลอดภัยต่ำ เกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ก็คงเหลือแต่คนไทยที่ยังไปลงทุน เรื่องการดูแลความปลอดภัย ไม่ใช่เฉพาะช่วงรอมฎอน แต่ต้องดูแลตลอดเวลา อย่างเต็มที่ โดยเจ้าหน้าที่รัฐต้องเสียสละการทำงานให้ประเทศชาติปลอดภัย ซึ่งตนสามารถพูดได้กับทุกประเทศว่าเราทำอะไรไปบ้าง และทุกประเทศก็รับได้ เห็นเราทำทั้งด้านกฎหมายการพัฒนา ลดความเหลื่อมล้ำ การศึกษา ให้ความเป็นธรรมทุกศาสนาอย่างเท่าเทียม โดยรัฐบาลพยายามจะลดปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เร็วที่สุดเพื่อนำไปสู่การค้าการลงทุน และมีการเริ่มพูดคุยสร้างสันติสุข ถือเป็นเจตนาดีเขายื่นมาเราก็พร้อมคุย แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมายไทย การพูดคุยไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐแต่ขึ้นอยู่กับอีกฝ่าย เพราะรัฐไม่ได้สร้างความรุนแรง หากเขาต้องการหยุดเราก็ต้องใช้กรอบกฎหมายสร้างความเข้าใจตามลำดับ บางครั้งการทำงานอาจจะยาก มีทั้งนักวิชาการและผู้เห็นต่าง ซึ่งอยากให้มองในเรื่องความปลอดภัย ไม่ใช่มองแต่ผิดถูกดีไม่ดี จะทำให้การแก้ปัญหายากขึ้น ยืนยันว่า ภาครัฐต้องดูแลทุกศาสนาในประเทศไทยให้อยู่ได้อย่างเท่าเทียม
นายกฯ กล่าวด้วยว่า ในช่วงเดือนรอมฎอนที่ชาวมุสลิมถือศีลอด ขอให้ประสบความสำเร็จในการสร้างบุญสร้างกุศลตามวัฒนธรรมประเพณีที่มีความเชื่อถือ เช่นเดียวกับไทยพุทธ ที่หวังให้ตัวเองครอบครัว สังคมมีความสุข และแบ่งปันให้คนอื่น ในฐานะที่เป็นคนไทยพุทธก็ขออนุโมทนาบุญนี้ด้วย รัฐบาลให้การสนับสนุนตลอดเวลา โดยรัฐบาลนี้กับจุฬาราชมนตรี มีการติดต่อประสานงานกันตลอดในทุกเรื่อง รวมไปถึงการเดินทางไปทำพิธีฮัจญ์ อาหารฮาลาล