เมืองไทย 360 องศา
ทุกเรื่องย่อมมีต้นเหตุ และ ปลายเหตุ มีมุมบวก และ มุมลบ มันเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ เหมือนกับ “ธรรมะ” อันสูงส่ง ซึ่งก็คือ “ธรรมชาติ” นั่นเอง
กรณีหมายจับของพระเทพญาณมหามุณี (ไชยบูลย์ สุทธิผล) หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในข้อหาความผิดสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร จากการรับเช็คจาก นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น มันมองได้สองมุม เมื่อได้มองเห็นในมุมลบของการดื้อแพ่ง การสร้างกำแพงโล่มนุษย์ขึ้นมาปกป้อง การปลุกระดมมวลชนบิดเบือนไปจากความเป็นจริง เหมือนกับมีความพยายามสร้างสิ่งกีดขวาง สร้าง “รัฐซ้อนรัฐ” ขึ้นมา หรือแสดงให้เห็นถึงเขตปกครองตนเอง เหมือนที่บางฝ่ายกำลังแซวกันอยู่ในเวลานี้
ขณะเดียวกัน มองอีกมุมหนึ่งมันก็กลายเป็นมุมบวกเกิดซ้อนขึ้นมาได้เหมือนกัน เพราะจากกรณีดังกล่าว เมื่อสังคมส่วนใหญ่ได้มองเห็นภาพลบ ในเรื่องที่ ธัมมชโย แสดงท่าทางบิดพลิ้ว โยกโย้ขัดขืนไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเสียที ทำให้มองเห็นอีกมุมก็คือ “เกิดแรงกระตุ้น” ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง อย่างน้อยก็ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากที่เป็นอยู่ในเวลานี้
แน่นอนว่า เวลานี้สังคมกำลังจับตามองว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะสามารถบังคับใช้กฎหมายกับ ธัมมชโย หลังจากศาลอนุมัติหมายจับในข้อหาความผิดดังกล่าวได้หรือไม่ และนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนได้หรือไม่ ขณะเดียวกัน ก็ได้มองเห็นความอ่อนแอ ความหย่อนยานไม่ทันการณ์กับกระบวนการบริหารจัดการในวงการสงฆ์ จนถูกมองว่า “ไร้ประสิทธิภาพ” ไม่ทันสมัยกับยุคที่เปลี่ยนไป
มีเสียงวิจารณ์ในด้านลบ ว่า เวลานี้ “ธัมมชโย” ครอบงำองค์กรปกครองทางสงฆ์เอาไว้ในมือเกือบทั้งหมดแล้ว หรือไม่เช่นนั้น ก็มีลักษณะเป็นพวกเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนา รวมไปถึงวัดวาอารามต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมไปถึงอีกหลายวัดในต่างประเทศอีกด้วย ลักษณะเป็นการใช้เงินอุดหนุน หรือสร้างกิจกรรมบังหน้า จนทำให้เครือข่ายขยายออกไปอย่างกว้างขวาง
เวลานี้กำลังมีความพยายามให้องค์กรปกครองทางสงฆ์ เข้ามาเกี่ยวข้องจัดการกับ ธัมมชโย ตั้งเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ขึ้นมาจนถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช คือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ซึ่งล่าสุดทางกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งหนังสือให้เข้ามาช่วยคลี่คลายปัญหากรณีธัมมชโย หากพิจารณากันแบบตรงไปตรงมาแบบชาวบ้าน ก็คือ เหมือนกับบีบให้เข้ามาร่วมจัดการแก้ปัญหาอีกทางหนึ่ง แม้ว่าในความเป็นจริงก็คงจะได้เห็นคำตอบล่วงหน้ารออยู่แล้วว่า “ยังไม่ได้รับหนังสือ” หรือรอให้หนังสือมาถึงอย่างเป็นทางการก่อนอะไรประมาณนี้
แต่ถึงอย่างไรยิ่งสังคมได้มองเห็นว่า องค์กรสงฆ์ดังกล่าวมีความพยายามเตะถ่วงเข้าด้วยช่วยเหลือแบบ “พวกเดียวกัน” ก็ยิ่งมีความสุกงอม จนกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดการปฏิรูปวงการสงฆ์เสียใหม่ให้เร็วขึ้น หลังจากมีการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปในทางโลกมาหลายหน่วยงาน เช่น วงการตำรวจการเมือง หรือแม้แต่ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมาแล้ว เป็นต้น
สำหรับวงการสงฆ์นั้น หากมองจากภายนอกเข้าไป จะเห็นปัญหาไม่ใช่น้อย ทั้งในเรื่องของผลประโยชน์ภายในวัด การบังคับวินัยสงฆ์ หรือแม้แต่การแต่งตั้งสมณศักดิ์ ก็มีเสียงนินทาอยู่เสมอว่าหลายตำแหน่ง “ไม่โปร่งใส” มีการกล่าวหารุนแรงว่า มีการ “ซื้อขายตำแหน่ง” ล้วนแล้วเป็นภาพลบสร้างความเสื่อมเสียมากขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น หากพิจารณากันในมุมบวก กรณีคดีของ ธัมมชโย ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาความผิดสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร จากการรับเช็คจาก นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น กลับเป็นแรงกระตุ้นให้สังคมได้ตื่นตัวกระตุ้นให้เกิดแรงกดดันให้มีการปฏิรูปวงการสงฆ์ได้เร็วกว่าเดิม เพราะถือว่าเกี่ยวพันกันจนแยกไม่ออก
ขณะเดียวกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นเรื่องภายในวงการสงฆ์ที่จำกัดไม่ให้ฆราวาสเข้าไปเกี่ยวข้องเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่เป็นเรื่องที่ทำให้หน่วยงานทางกฎหมาย ทางการปกครองที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายต้องร่วมมือกันมากขึ้นกว่าเดิม แบบเลี่ยงไม่ได้แล้ว !!