xs
xsm
sm
md
lg

เปิดคอกปล่อยนักการเมือง สร้างภาพลักษณ์ดูดีให้ คสช.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

สะเก็ดไฟ

การประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคงที่มี “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.นั่งหัวโต๊ะเมื่อ 27 พ.ค. มีมติทุบโต๊ะเปรี้ยงให้ยกเลิกประกาศ คสช. เรื่องห้ามบุคคลเดินทางออกนอกราชอาณาจักร มีผลในวันที่ 1 มิ.ย. นั่นส่งผลให้ใครที่เคยถูก คสช.เรียกรายงานตัว และห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศก่อนได้รับอนุญาต ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 จะสามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ ยกเว้นคนที่ติดเงื่อนไขของศาลเท่านั้น

เปรียบเหมือนปล่อยผีนักการเมือง ผ่อนคลายสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองไปเปลาะหนึ่ง ตามคำที่ “บิ๊กตู่” เคยพูดก่อนหน้านีคำถามคือ ทำไมต้องเป็นช่วงนี้ ทั้งที่บรรดานักการเมืองเรียกร้องกันมานานแล้ว เหตุผลหนึ่งมาจากสถานการณ์ต่างชาติกดดันเรื่องสิทธิมนุษยชน และ สอง สภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ไม่กระเตื้อง สองเรื่องนี้เชื่อมโยงกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะประเทศที่เป็นประชาธิปไตยทั้งโลก ให้ความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชนเหนือสิ่งอื่นใด ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการมาลงทุนในประเทศไทยแน่นอน

แม้ “เสธ.ไก่อู” พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ จะออกมาชี้แจงภาวะเศรษฐกิจรายวัน ว่าไม่ได้แย่เหมือนที่สมาชิกพรรคเพื่อไทย พยายามออกมาพูด พร้อมยกข้อมูลสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง มายันว่าแม้เศรษฐกิจโลกยังไม่สดใส แต่ประเทศไทยสามารถยืนอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

แต่กระนั้น ต่อให้พูดจนปากฉีกไปถึงหู คนทำงานรับเงินเดือนย่อมรู้แก่ใจมากกว่าใคร ความจริงที่เจออยู่ทุกวันนี้ เงินที่หามาได้ในแต่ละวัน แต่ละเดือน ไม่พอยาไส้ ไม่พอกับรายจ่ายที่ต้องเสียไป ค่าครองชีพสูง แต่เงินที่หามาได้ไม่ขยับตาม เกิดภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง หลายรายต้องไปกู้หนี้ยืมสิน บางรายล้มละลายแทบจะขายตัวไปแล้วก็มี และสิ่งสะท้อนอีกอย่างที่เห็นชัด คือ บรรดาพ่อค้าแม่ขายตามตลาดนัดวัยรุ่นที่เปิดมากในทุกวันนี้ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “คนมาเดินตลาดกันมากก็จริง แต่คนเดินดูมากกว่าคนซื้อของ” ฉะนั้นไม่ว่าตัวเลขจะดูดีแค่ไหนก็หลีกเลี่ยงความจริงไม่พ้น

สอดคล้องกับที่ฝ่ายการเมืองออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การทำงานของ คสช.2 ปี ที่ผ่านมาไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ปัญหาความขัดแย้งที่เป็นเหตุผลในการยึดอำนาจยังคงมีอยู่ ความสงบของบ้านเมืองที่เห็นในตอนนี้ เป็นเพียงความสงบจอมปลอมที่รอวันปะทุเมื่อเงื่อนไขการห้ามเคลื่อนไหวหมดไป

เมื่อมีอำนาจอยู่ในมืออย่างเบ็ดเสร็จ คสช.จึงต้องทำอะไรสักอย่างที่ต่างไปจากเดิม และการผ่อนคลายสถานการณ์ตรงนี้ หวังผลให้ต่างชาติเห็นความจริงใจของไทย เพิ่มความเชื่อมั่น และเข้ามาลงทุนภายใต้รัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจมากขึ้น ถ้านี่คือเหตุผลหนึ่งในการตัดสินใจของ หัวหน้า คสช. ต่อไปเกิดยอดลงทุนของต่างชาติเพิ่มมากขึ้น เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น เราอาจได้เห็นการผ่อนปรนเรื่องอื่นๆ ตามมา

ตอนนี้บรรดานักการเมืองเหมือนได้คืบจะเอาศอก ตามที่ “บิ๊กตู่” ว่า ร้องแรกแหกกระเชอออกมาเรียกร้องการผ่อนปรนจาก คสช.เพิ่มเติม คะยั้นคะยอให้ทำกิจกรรมทางการเมืองได้ โดยอ้างเหตุผลความเป็นประชาธิปไตย จนแผ่นซีดีสะดุดเป็นรอย เพราะไม่ใช่พระเอกตัวจริง พูดซ้ำๆ จนรำคาญหูว่าจำเป็นต้องเปิดกว้างให้ฝ่ายต่างๆ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่ เพราะกำลังจะเดินไปสู่การลงประชามติ ตัดสินอนาคตประเทศ

แม้ พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช.จะบอกว่าเรื่องการผ่อนปรนนี้เป็นคนละเรื่องกับการทำประชามติ แต่คอการเมืองคงมองความเชื่อมโยงออกว่า การผ่อนปรนเงื่อนไขครั้งนี้ เป็นการโยนหินถามทาง เพื่อให้มีมาตรการอื่นตามมา หากสถานการณ์ทางการเมืองหลังจากนี้ ยังอยู่ในวิสัยที่ คสช.จะควบคุมได้ การทำกิจกรรมทางการเมืองอย่างเปิดกว้างอาจตามมา มองโลกในแง่ดี และ หวังอย่างนั้น

มุมหนึ่งมองว่า ท่าทีของ คสช.ที่ออกมาตรการนี้เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะนอกจากแสดงให้ต่างชาติเห็นว่ารัฐบาลรัฐประหารของประเทศไทยเปิดกว้างเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างเท่าเทียมกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มันยังเป็นการสร้างความชอบธรรมให้แก่ประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ด้วย ไม่ให้ใครมาว่าทีหลังได้ว่าร่างรัฐธรรมนูญผ่านโดยประชาชนไม่รู้เนื้อหาที่แท้จริง

รัฐบาล คสช.ก็พูดชัดว่าขั้นตอนการตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ เพื่อร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา และการเปิดให้มีการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งที่สามารถประกาศใช้ได้เลย ล้วนเป็นการต้องการให้ประเทศไทยได้มีรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ที่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม มาเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเสียที เชื่อว่านี่คือความตั้งใจจริงของ คสช. เพราะหากจะทู่ซี้ยื้อเป็นรัฐบาลต่อไปคงไม่เป็นผลดี เห็นได้จากผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน ที่จำนวนคนพอใจผลงานของ คสช.เริ่มลดน้อยถอยลง

ประกอบกับเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญของ กรธ. มีการวางเงื่อนไข ให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ต้องเดินหน้าปฏิรูปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ คสช.วางไว้แล้ว อีกทั้งมีเงื่อนไขให้ ส.ว.แต่งตั้ง โดย คสช. มีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศ การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้เร็วที่สุด จึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับคณะรัฐประหารของพี่น้องบูรพาพยัคฆ์

แม้คนที่ร่วมการรัฐประหาร 22 พ.ค.จะปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ต้องการสืบทอดอำนาจอย่างไร แต่กลไกต่างๆ ที่วางไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ ยังคงมีเงาของ คสช.ครอบงำไว้อยู่ ถ้ารัฐบาลต่อไปขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวหน้าตามแผนที่วางไว้ คสช.ก็ได้หน้าไปเต็มๆ ในฐานะคนที่วางรากฐานการพัฒนาให้กับประเทศไทย ที่เจอปัญหาการเมืองรุมเร้ามา 10 กว่าปี แต่ถ้าหากบริหารงานล้มเหลวไม่เป็นท่า บ้านเมืองกลับมาสู่ปัญหาเดิมๆ อีก จะไม่มีใครกล่าวหา คสช.ได้เต็มปากเพราะทำตามโรดแมปที่วางไว้ ให้มีการเลือกตั้งในปี 60 แล้ว

กลับกันหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ผ่านขึ้นมา คนที่จะเสียหายมากที่สุดไม่ใช่นักการเมืองที่ยังไม่ได้ลงสนามเลือกตั้ง แต่จะเป็น คสช.เอง เพราะตอนนั้นบรรยากาศทางการเมืองคงไม่เรียบร้อยเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ ความชอบธรรมในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เหลือน้อยเต็มที ถ้าจะเขียนใหม่อีกที ไม่พ้นคนนินทา หมาดูถูก เพราะทำมาสองครั้งยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เศรษฐกิจและการปฏิรูปด้านต่างๆ ที่วาดฝันไว้ ก็ยังไม่มีอะไรจับต้องได้ สุดท้ายอาจตายน้ำตื้น เหมือนกับคณะรัฐประหารชุดก่อน ที่เข้ามาด้วยดอกไม้ แต่กลับออกไปด้วยก้อนหิน

มีตัวอย่างให้เห็นอยู่หลัดๆ ดังนั้นทางที่ดีเปิดกว้างสร้างความชอบธรรมในการทำประชามติ แล้วให้ประชาชนตัดสินอนาคตของตัวเองในวันที่ 7 ส.ค.แบบสง่างามจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น