xs
xsm
sm
md
lg

“ชาญชัย” ลั่น “ทอท.- คิง เพาเวอร์” ร่วมผิดสัญญา - อีกฝ่ายส่งทนายฟ้องหมิ่นประมาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ (ภาพจากแฟ้ม)
รองประธานอนุกรรมาธิการ สปท. ย้ำ ทอท.- คิง เพาเวอร์ ไม่ปฏิบัติตามสัญญา ไม่ติดตั้งระบบ POS เช็กสต๊อกสินค้า และไม่ทำตามระเบียบศุลกากร แถมการได้มาของสัญญาโดยไม่ทำตาม พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ ย้ำ มุ่งทำหน้าที่ศึกษากลไกการบังคับใช้กฎหมาย ด้าน คิง เพาเวอร์ ส่งทนายฟ้องหมิ่นประมาท และดูหมิ่นด้วยการโฆษณา ระบุ ไม่มีหน้าที่ชี้นำ และไม่ใช่สามชิก สปท. ศาลรับฟ้องและนัดไต่สวน 10 ต.ค.

วันนี้ (27 พ.ค.) ที่รัฐสภา นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ในฐานะรองประธานอนุกรรมาธิการวิสามัญศึกษากลไกปราบปรามทุจริต ในสังกัดคณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนเพื่อการปฎิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวว่า หลังคณะอนุกรรมาธิการได้ศึกษากรณี บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ในฐานะผู้ให้สัญญากับบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวดี้ฟรี จำกัด รวมสองสัญญาเพื่อประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรและร้านค้าเชิงพาณิชย์ ปรากฏหลักฐานว่า ทั้งคู่ไม่ปฏิบัติตามสัญญา เช่น การไม่ติดตั้งระบบเชื่อมระบบขายหน้าร้าน หรือ พีโอเอส (Point of sale) ที่จะเช็คยอดการขายและสต๊อกสินค้าคงคลัง ตามที่สัญญาระบุไว้ เพื่อตรวจสอบรายได้จากการขายสินค้า โดยการท่าฯ จะได้รับส่วนแบ่งรายได้ 15% และเพิ่มอีกปีละ 1% ทุกปีจนหมดสัญญา รวมถึงสัญญาเชิงพาณิชย์ที่ต้องจ่ายค่าสิทธิตามสัญญา 15% โดยการตรวจสอบจากระบบพีโอเอสเพื่อเช็กยอดขายและสต๊อกสินค้าทันที ไม่ใช่การทำบัญชีเช่นที่ทำอยู่ในปัจจุบัน

นายชาญชัย กล่าวต่อว่า การไม่ทำตามสัญญาและระเบียบกฎหมายศุลกากร ทำให้เกิดผลเสียหายแก่การท่าฯ มีการลักลอบขายสินค้าซึ่งมีกรณีตัวอย่างศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาคดีที่บริษัท คิง เพาเวอร์ กับ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง โดยศาลชี้แล้วว่ามีการลับลอบขายสินค้าปลอดอากรโดยไม่ต้องทำตามขั้นตอนของกฎหมายจริง (ไม่ใช้หนังสือเดินทางในการซื้อสินค้า) รวมถึงกรณีการได้มาของสัญญาโดยไม่ทำตาม พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ เพราะมูลค่าลงทุนทั้งสองฝ่าย คิดเป็นทรัพย์สินร่วมกันเกินมูลค่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทนี้รู้แล้วว่ามีการลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท เพราะบริษัท คิง เพาเวอร์ ฟ้องศาลแพ่ง เพื่อขอคุ้มครองชั่วคราว คดีดำที่ 2441/2550 และ คดีดำที่ 2440/2550 และคำร้องขอถอนฟ้องคดีดำที่ 2441/2550 และคดีแดงที่ 6232/2551 สำนวนการฟ้องอยู่ในการครอบครองและตรวจสอบคำฟ้องของทั้งสองฝ่าย โดยมีข้อความระบุชัดว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ลงทุนเกิน 1,000 ล้าน ทั้งสองสัญญา ที่ปรากฏอยู่ในคำฟ้องเอง คือ สัญญา คิง เพาเวอร์ ดิวดี้ฟรี ที่ลงทุนฝ่ายเดียว 1,081 ล้านบาท และสัญญา คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ ที่ลงทุนและตกแต่งรวมมูลค่า 1,781 ล้านบาท

“การถอนฟ้องคดีของ คิง เพาเวอร์ ระบุไว้ในข้อ 2. ชัดเจนว่า วันที่ศาลอนุญาตให้ถอนคดีและกรณีที่โจทก์พื้นที่จริงภายหลังการทำสัญญาเป็นผลให้มูลค่าเงินลงทุนของโครงการมีมูลค่าตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โจทก์และจำเลยตกลงที่จะดำเนินการและปฏิเสธตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ. ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ให้ถูกต้องหรือไม่ ปรากฏต่อมาว่า มีการต่อสัญญาอีกสองครั้ง ซึ่งเข้าเงื่อนไขต้องใช้ พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ ดังกล่าว บริษัท คิง เพาเวอร์ ก็รู้อยู่ และการท่าฯ เองก็ทราบว่า ต้องปฏิบัติตามกฎหมายนี้ แต่ทั้งบริษัท คิง เพาเวอร์ และ การท่าฯ ร่วมกันทำผิดกฎหมาย พ.ร.บ. ร่วมทุน” นายชาญชัย กล่าว

นายชาญชัย กล่าวอีกว่า การที่ นายวิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของบริษัท ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ พร้อมจะปฏิบัติตามที่การท่าฯ เสนอแนะ หรือให้ทำตามสัญญา เป็นการแถลงที่ขัดแย้งต่อข้อเท็จจริง และที่อ้างว่าพร้อมปฏิบัติตามสัญญาให้การท่าฯ มีผลประโยชน์มากกว่า แต่กลับกลายเป็นการท่าฯ โดยผู้บริหารไม่ดูแลผลประโยชน์ของการท่าฯ กลับยอมให้บริษัท คิง เพาเวอร์ ทำผิดกฎหมายและได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว จากการที่อ้างไม่ติดตั้งระบบพีโอเอสไม่ผิดอะไร ส่วนกรณีที่นายวิชัยจะเป็นเจ้าของพรรคการเมืองหรือไม่ หรือจะเป็นนักการเมือง หรือจะอยู่เบื้องหลังการเมืองใดหรือไม่ หรือจะมีทีมฟุตบอลได้แชมป์อีก 10 ประเทศ จะมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างไร คณะอนุกรรมาธิการไม่ได้สนใจในเรื่องเหล่านั้น แต่เรามุ่งทำหน้าที่ศึกษากลไกการบังคับใช้กฎหมาย ว่า บริษัทที่เป็นคู่สัญญากับรัฐ ต้องปฏิบัติตามสัญญา ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวงเงินภาษีประชาชน ที่เป็นผู้ลงทุนในสนามบิน 147,000 ล้านบาท

“บริษัทดังกล่าวเป็นแค่ทำสัญญาเช่า ไม่ใช่เจ้าของ แต่กลายเป็นว่า รัฐจะทำอะไรกลับต้องไปถามบริษัทเอกชนว่าสามารถทำได้หรือไม่ เช่นนี้เขาเรียกว่า คู่สัญญามีอำนาจเหนือรัฐ สัญญานั้นขัดต่อความมั่นคง โดยเฉพาะในสัญญาที่เขียนไว้ว่า สามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที และคำตัดสินของการท่าฯ ถือเป็นอันยุติ ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมกับเอกชนทำผิด พ.ร.บ. ปปง. มาตรา 3(5) ว่าด้วยเรื่องการทุจริตต่อหน้าที่ และ (7) ว่าด้วยเรื่องภาษีเป็นมูลฐานความผิดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐ คือ ปปง. สามารถอายัดเพื่อตรวจสอบความถูกต้องได้ทันที ไม่ต้องมีคำพิพากษาตัดสินมาก่อนด้วย ทั้งนี้เอกสารเหล่านี้เป็นบันทึกอยู่ในรายงานการประชุมของคณะอนุกรรมาธิการทั้งหมด” นายชาญชัย กล่าว

อีกด้านหนึ่ง บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้มอบอำนาจให้นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายชาญชัย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท และดูหมิ่น ด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 393 สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 พ.ค. ที่ผ่านมา นายชาญชัยได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ร่วมกับบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด และบริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด กระทำผิดสัญญาตาม พ.ร.บ. ร่วมทุน พ.ศ. 2535 มีการขายสินค้านอกสนามบิน หลบเลี่ยงการส่งผลประโยชน์เข้ารัฐ 21,000 ล้านบาท ไม่ติดตั้งเครื่องตรวจสอบระบบ POS ผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ทำผิดกฎหมาย เอื้อประโยชน์แก่บริษัท คิง เพาเวอร์ฯ รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินคดีกับบริษัท คิง เพาเวอร์ฯ และเรียกทรัพย์คืนแผ่นดิน

นายบัญชา ให้สัมภาษณ์ว่า ผู้บริหาร คิง เพาเวอร์ ได้พิจารณาข้อความที่นายชาญชัยได้แถลงข่าวแล้วเห็นว่า นายชาญชัย แถลงข้อมูลในส่วนที่สำคัญไม่ครบถ้วน และไม่มีหน้าที่แถลงข่าวชี้นำให้ประชาชนที่ไม่ทราบข้อมูลครบถ้วนเชื่อว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ ผิดสัญญาตาม พ.ร.บ. ร่วมทุน พ.ศ. 2535 มีการขายสินค้านอกสนามบิน หลบเลี่ยงการส่งผลประโยชน์เข้ารัฐ 21,000 ล้านบาท ไม่ติดตั้งเครื่องตรวจสอบระบบ POS เพราะนายชาญชัย มีหน้าที่ศึกษา เสนอแนะมาตรการ และกลไกในการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการป้องการและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (สปท.) พิจารณา

อีกทั้งนายชาญชัยเองก็ไม่ได้เป็นสมาชิก สปท. แต่เป็นเพียงบุคคลภายนอกที่ถูกแต่งตั้งให้มาทำหน้าที่รองประธานคณะอนุกรรมาธิการเท่านั้น ดังนั้น การแถลงข่าวของนายชาญชัย ทำให้ บริษัท คิง เพาเวอร์, ทอท. และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จึงต้องฟ้องนายชาญชัยเพื่อปกป้องชื่อเสียงของบริษัท คิง เพาเวอร์ และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเพื่อพิสูจน์ความจริงและขอความเป็นธรรมต่อศาลตามกระบวนการยุติธรรมด้วย

ทั้งนี้ ศาลได้รับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อ.1673/2559 นัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 10 ต.ค. 2559 เวลา 13.30 น.


กำลังโหลดความคิดเห็น