เมืองไทย 360 องศา
อาจเป็นเรื่องบังเอิญที่ประจวบเหมาะกันพอดีกับวาระที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเข้ามาควบคุมอำนาจบริหารบ้านเมืองมาครบ 2 ปี เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมาก็ได้ จึงมีการตั้งคำถามถึงข่าวปรับคณะรัฐมนตรีกันอีกครั้ง ซึ่งหากจำกันได้มีการถามและตอบคำถามให้ได้ยินอย่างน้อยสองสามครั้งแล้ว ในช่วงเวลาสัปดาห์ที่ผ่านมา ทุกครั้งก็มีการยืนยันจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ว่า จะไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรีในช่วงเวลานี้ และย้ำว่าข่าวดังกล่าวที่ออกมาเป็น “ข่าวลือ”
อย่างไรก็ดี หากย้อนความจำที่ผ่านมา ก่อนการปรับคณะรัฐมนตรีทุกครั้งก็จะมีข่าวทำนองนี้ออกมาทุกครั้ง และนายกรัฐมนตรี หรือบุคคลสำคัญในรัฐบาลก็มักจะออกมาปฏิเสธทุกครั้ง แต่ในที่สุดแล้วมันก็เกิดขึ้นแทบทุกครั้ง
คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน ยังไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีเกิดขึ้นหรือไม่ เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.ได้ยืนยันหนักแน่นว่าไม่ปรับ ล่าสุดเขาก็ได้พูดในงานประชุมสัมมนาการขับเคลื่อนและการปฏิรูปประเทศไทยแบบบูรณาการ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ที่ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการ คอนเวนชันเซ็นเตอร์ ตอนหนึ่งว่า
“ผมขอให้กำลังใจผู้ที่กำลังปฏิบัติงานทุกคน ทาง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม บอกกับผมว่า ไม่ไหวแล้ว อายุ 70 แล้ว จะลาออก ผมบอกถ้าลาออกผมก็ตั้งใหม่ได้ ทำไมล่ะ มาตรา 44 ตั้งได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทุกคนต้องรักกัน อย่าคิดว่าเข้ามาเพื่ออะไรเลย ทาง รมว.ยุติธรรม ก็ไปถึงกระบวนการพระสงฆ์ยุ่งไปหมดแล้ว มันไม่ควรจะวุ่น ผมว่าพระธรรมวินัยว่าอย่างไรก็ไปตามนั้น ผมไม่เข้าข้างใคร เพราะเป็นไทยพุทธทั้งนั้น มีใครค้างกับอะไรผมหรือไม่ รัฐมนตรีจะถามอะไรผมไหมจะปรับรัฐมนตรีคนไหน ใครเป็นคนไปปล่อยข่าวปลัด กระทรวงหรือไม่ ทำงานมาด้วยกันผมรู้ใครเป็นอย่างไร ที่ปรับออกไปไม่ใช่ว่าทำงานไม่ดี เขาก็เริ่มต้นให้ ครม.2 ทำงานมา เราร่วมชะตากรรมาตั้งแต่ 22 พฤษภาฯ จะทิ้งผมไปหรือ ผมไม่ทิ้งท่าน ท่านก็อย่าทิ้งผม”
จากคำพูดดังกล่าวทำให้พิจารณาได้ว่า “มีการบ่นและอยากลาออก “และ “มีการปล่อยข่าวจากปลัดกระทรวงคนหนึ่ง” ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าคิด
เรื่องแรกก็คือ การบ่นอยากลาออกของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ถือว่า “มีอำนาจเบอร์สอง” อยู่ในเวลานี้ เพียงแต่ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า “ไม่ให้ออก” ถึงออกก็ตั้งใหม่อะไรประมาณนี้
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวนด์บางเรื่อง มันก็ชวนทำให้คิดได้เหมือนกัน เพราะหากโฟกัสกันเฉพาะเรื่องวงการตำรวจ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร กำกับดูแลหน่วยงานนี้อย่างเต็มตัว ถูกมองว่า มีการจัดวางเครือข่ายทั้งทางตรงและทางอ้อมมาอย่างต่อเนื่อง ทางตรงก็คือสายตรง และผ่านทางน้องชาย คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่เคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาก่อน และยังเชื่อมโยงไปถึงการแต่งตั้งโยกย้ายในหน่วยงานดังกล่าว ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่การแต่งตั้งโยกย้ายทุกครั้งจะต้องมีเรื่องของคนใกล้ชิด คนรู้ใจมาเกี่ยวข้อง ยุคใครยุคมัน และคราวนี้ก็ยังไม่ต่างกัน คือ มีข่าวอื้อฉาวในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจโผล่ขึ้นมา อย่างน้อยเท่าที่เห็นก็มีการเปิดโปงออกมาจาก อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ที่ในสังคมถือว่ามีเครดิต ดังนั้น ก็ย่อมเกิดแรงสั่นสะเทือนถึงภาพลักษณ์กันไม่น้อย จนทำให้ต้องออกมาตอบโต้อย่างรุนแรงกลับไป โดย พล.อ.ประวิตร ท้าทายให้เปิดเผย “ใบเสร็จ” ออกมา ล่าสุดก็มีการส่งสัญญาณให้หน่วยงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งความดำเนินคดีแล้ว
ขณะเดียวกัน ในช่วงที่ผ่านมา ก็มีข่าว “ปลด” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นระยะ และล่าสุด ในงานเดียวกันคือ งานสัมมนาปฏิรูปและขับเคลื่อนประเทศไทยฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ขึ้นกล่าวบนเวทีมีการพูดพาดพิงไปถึงการทำงานของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ โดยมีการพูดถึงเรื่องการปราบปรามอาชญากรรม มีการยกตัวอย่างถึงเหตุการณ์ปล้นธนาคารที่อุดรธานี ในทำนองว่าหากจับคนร้ายไม่ได้ก็ต้องปลดผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากอารมณ์กันในตอนนี้ก็ต้องยอมรับว่า “คุกรุ่น” กันเหมือนกัน แม้ยังไม่ถึงขั้นแสดงอาการออกมาให้เห็นได้ชัดเจนนัก แต่อย่างน้อยในระดับ “วงใน” ก็มีการเคลื่อนไหวกันบางอย่างออกมาให้เห็นบ้าง ไม่เช่นนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. คงไม่เอ่ยปากพูดออกมาลอย ๆ แบบเป็นนัยว่า “ปลัดกระทรวงปล่อยข่างปรับคณะรัฐมนตรี” หรอก เพราะงานนี้ถือว่า “พูดกันกลางวง” เพราะมีทั้งรัฐมนตรีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นั่งกันหน้าสลอน มันก็ย่อมไม่ธรรมดา
อีกด้านหนึ่งมันอาจจะเป็นจังหวะเหมาะก็ได้ เพราะเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งมันก็ถึงคราวที่จะต้องเขย่ากันสักครั้ง เช่นเมื่อ รัฐบาลทำงานมาครบ 1 ปี ปีครึ่ง หรือสองปี แม้ว่ารัฐบาลชุดนี้และคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังเหลือเวลาตามโรดแมปอีกแค่ปีเศษ แต่นั่นเป็นไปตามตัวอักษร ในทางปฏิบัติส่อเค้าว่า “อยู่ยาว” ดังนั้น เพื่อความกระฉับกระเฉงสร้างผลงานก็ต้องมีเหมือนกัน แต่อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดบนเวทีนั่นแหละรัฐมนตรีแต่ละคนเป็นอย่างไรผมรู้หมด และคนที่เคยถูกปรับออกก็ไม่ใช่หมายความว่าไม่ดี เพียงแต่ว่าต้องเสียสละ เพื่อความเหมาะสม อย่างหลังนี่แหละสำคัญ และแม้ว่านาทีนี้จะฟันธงไม่ได้ แต่โอกาสปรับคณะรัฐมนตรีมันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!