เมืองไทย 360 องศา
กำลังดำเนินการกันอย่างเข้มข้นทีเดียวสำหรับมาตรการปราบปรามกวาดล้างผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ภายใต้การกำกับดูแลของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รองหัวหน้า คสช.ที่กำหนดเวลาเอาไว้นาน 6 เดือน
แน่นอนว่ามาตรการดังกล่าวในภาพรวมต้องการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและสิ่งผิดกฎหมายในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อสร้างความสงบร่มเย็น ย่อมสร้างความอุ่นใจให้กับชาวบ้านที่เป็นสุจริตชนทั่วไป เพราะขึ้นชื่อว่า “ผู้มีอิทธิพล” ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด ค้าอาวุธ มือปืนรับจ้างแก๊งทวงหนี้ ฯลฯ หรือมีเส้นทางสีเทาคาบเกี่ยวกันอยู่ และที่ผ่านมานโยบายหากมีนโยบายแบบนี้ทุกครั้งไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ย่อมเรียกเสียงฮือฮา เสียกเสียงปรบมือดังอื้ออึงจากชาวบ้านทุกครั้ง
ขณะเดียวกันก็ต้องตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งนักสิทธิมนุษยชน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้วการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามที่มักโวยวายกลับมาว่านี่คือ “แผนกำจัด” ฝ่ายตรงข้าม โดยใช้นโยบายดังกล่าวนำหน้า หากพิจารณาจากนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่มีมาหลายยุคสมัย ที่ฮือฮาและอื้อฉาวมากที่สุดก็เห็นจะเป็นยุคของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่ในตอนนั้นเรียกชื่อ “สงครามปราบปรามยาเสพติด” ที่ล่าสังหารกันไปกว่า 2,500 ศพ แน่นอนว่าบางคนบางกลุ่มมีความสะใจ ขณะที่สังคมจำนวนมากมองว่านี่คือ “แผนอุบาทว์” ของผู้นำในยุคนั้นที่หวังคะแนนนิยมทางการเมือง พร้อมๆ กับการกำจัดฝ่ายตรงข้าม และทุนของฝ่ายตรงข้ามอย่างป่าเถื่อนที่สุด
นโยบายในลักษณะเดียวกันนี้ยังถูกนำมาใช้เรื่อยๆ ในรัฐบาลต่อมา จนแม้กระทั่งในยุคของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็นำมาใช้ซ้ำ และคราวนั้นขุนพลที่ดำเนินการก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งถ้าคนแบบนี้นำปราบปรามก็คงไม่ต้องอธิบายกันมากว่ามีเป้าหมายและผลจะเป็นอย่างไร
สำหรับในยุคของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีการนำนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลมาใช้อีก และมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ควบคุมดูแล ซึ่งได้ดำเนินการต่อเนื่องมาสองสามเดือนแล้ว มีการตรวจค้นจับกุมพื้นที่เป้าหมายในต่างจังหวัดมาเป็นระยะ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เป็นที่สนใจมากนัก แม้ว่าจะได้ตัวผู้ต้องหาและสิ่งของผิดกฎหมายจำนวนมาก เช่น อาวุธปืนชนิดต่างๆ ยาเสพติดมากมายก็ตาม อาจเป็นเพราะว่าผู้ต้องหาเหล่านั้นเป็นระดับชาวบ้านในท้องถิ่น เป็นแบบ “นักเลงบ้านนอก” พวกค้ายาแบบบ้านๆ การจับกุมแม้จะมีการแถลงข่าวแต่สังคมก็มองแบบผ่านๆ ประเภทจับได้ก็ได้แผ่นดินจะได้สูงขึ้น สงบเรียบร้อยขึ้นอะไรประมาณนั้น
ที่ผ่านมาสังคมยังไม่ค่อยมองว่าเป็นจุดเชื่อมโยงกับการเมืองมากนัก แต่ในระยะหลังที่เริ่มมีการจับกุมผู้ต้องหาคนสำคัญกันมากขึ้น พบอาวุธร้ายแรงมากขึ้น ที่น่าจับตาก็คือการจับกุมผู้มีอิทธิพลในจังหวัดนครปฐม ที่ควบคุมตัว “ทีมสะสมทรัพย์” ไปแบบครบเซต ไม่ว่าจะเป็น เผดิมชัย ไชยา และน้องชายที่มีนามสกุลสะสมทรัพย์ มีการนำอาวุธปืนหลายชนิดที่ตรวจค้นได้ไปตรวจสอบ และตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มมีการจับตามากขึ้น เพราะผู้ต้องหาหรืออาจจะยังมีสถานะเป็นผู้ต้องสงสัยกลุ่มนี้เป็นกลุ่มการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่นและเชื่อมโยงมาถึงการเมืองระดับชาติ เพราะพวกเขาเคยเป็นรัฐมนตรี เคยมีบทบาทสำคัญในยุครัฐบาลก่อน โดยเฉพาะตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เรื่อยมา และเป็นคนสำคัญในพรรคเพื่อไทย แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกันว่าพวกเขาถูกมองว่าเป็น “ผู้มีอิทธิพล” ที่ในวงการรู้จักกันดี
ดังนั้น การเข้าจับกุมตรวจค้นในบ้านของคนพวกนี้และพิจารณาจากแบ็กกราวนด์มันก็สามารถอธิบายได้ว่าเป็นไปตามนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แต่ขณะเดียวกัน หากมีใครนำไปเชื่อมโยงกับเรื่องการเมืองด้วยมันก็ช่วยไม่ได้ เพราะพวกเขาก็มีสถานะเป็นนักการเมือง แต่ใน “ความหมายอีกแบบหนึ่ง”
อย่างไรก็ดี มีเรื่องที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นมาอีกเมื่อล่าสุดมีการบุกเข้าตรวจค้นบ้านของ ประชา ประสพดี และ วรชัย เหมะ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อตอนสายวันที่ 12 พฤษภาคม พร้อมกับเป้าหมายอื่นๆ อีกสิบกว่าจุด แต่ที่น่าสนใจก็น่าจะเป็นบ้านของสองอดีต ส.ส.ดังกล่าว เพราะหากพิจารณาจากทั้งตัวผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัว และของกลางมันก็ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะในรายของประชานั้นเห็นในภาพมีอาวุธปืนนานาชนิด ถ้าบอกว่าเอาไว้ป้องกันตัวมันก็เกินไป และจำเป็นแค่ไหนถึงได้ครอบครองมากมายขนาดนั้น ขณะที่อีกรายคือวรชัย ขณะที่มีการตรวจค้นเจ้าตัวไม่ได้อยู่ในบ้าน
แน่นอนว่าในสายของคนทั่วไปหากพิจารณาจากแบ็กกราวนด์ หากไม่ได้เคยเป็น ส.ส.หรือเคยเป็นคนเสื้อแดงที่เคลื่อนไหวชุมนุมสนับสนุนทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวของเขา มันก็อาจอยู่ในข่ายที่ต้องถูกตรวจค้น
แต่ที่น่าจับตาก็คือ หลังจากนี้จะมีความพยายามเชื่อมโยงให้กลายเป็นเรื่องการเมือง ซึ่งมันก็ต้องการให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่อีกด้านหนึ่งสำหรับรัฐบาลและ คณะรักษาความสงบแห่งชาติก็ย่อมมั่นใจว่า “ชัวร์” ถึงได้ลงมือ คงมีการประเมินรอบด้านแล้วว่าผลได้มากกว่าเสีย อาจมีเสียงโวยวายตามมาบ้างจากเครือข่ายทักษิณ แต่นาทีนี้น่าจะมองออกว่าไม่มีผลสั่นสะเทือน ตรงกันข้ามน่าจะได้ใจเพิ่มขึ้นมาด้วยซ้ำไป
ดังนั้นก็ต้องจับตาว่าเป้าหมายต่อไปคือที่ไหนต่างหาก แต่งานนี้ได้หลายต่อ อย่างน้อยนี่คือการกำหราบให้หยู่หมัด ก่อนวาระสำคัญข้างหน้า เล่นกันไม่ให้กระดิกเลยทีเดียว!!