พท. รวมหัวฉะคำถามพ่วงให้ ส.ว. สรรหา โหวตนายกฯได้ไม่เป็นประชาธิปไตย สร้างประเด็นความขัดแย้ง ต่อท่ออำนาจ คสช. ดักคอ กกต. สร้างความเชื่อมั่น เปิดกว้างแสดงความเห็นร่าง รธน. อย่าปล่อยให้เล่นข้างเดียว “ปึ้ง” อ้างต่างชาติจับตาประชามติ ร่าง รธน. หากไม่ชอบธรรม สังคมโลกจะไม่เชื่อมั่น ทำเศรษฐกิจตกต่ำ
นายอำนวย คลังผา อดีต ส.ส. ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตั้งคำถามพ่วงให้รัฐสภามีส่วนร่วมในการเลือกนายกฯ ว่า คำถามพ่วงดังกล่าวจะเป็นประเด็นที่สร้างความขัดแย้งเพิ่มขึ้นในสังคม เพราะเนื้อหาขัดกับร่างรัฐธรรมนูญที่ให้ประเทศไทยปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย การจะให้ ส.ว. ซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มามีส่วนร่วมในการเลือกนายกฯ ถือว่าไม่เป็นประชาธิปไตย อีกทั้ง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาเพื่อสร้งความปรองดองอยู่ดีมีสุขให้กับประชาชนในชาติ การตั้งคำถามเช่นนี้จึงขัดกับเจตนารมณ์ของ คสช. อย่างสิ้นเชิง
นายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส. อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการตั้งคำถามพ่วงประชามติ เป็นการแสดงให้คนทั่วประเทศเห็นแล้วว่า นี่เป็นการต่อท่ออำนาจ และเห็นชัดว่า สนช. อยู่ภายใต้อำนาจใคร ที่ชี้หน้าด่านักการเมืองว่าอยู่ภายใต้อำนาจพรรค หรืออำนาจนายทุนนั้น แต่วันนี้นิ้วที่เหลือมันชี้เข้าหาตัวเอง เหมือนคำพังเพย ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
ทั้งนี้ คำถามที่จะให้ ส.ว. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมีสิทธิ์เลือกนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นการอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ ตนขอบอกว่า นี่เป็นการต่อสู้กันระหว่างคนที่มาจากการเลือกตั้งกับคนที่อยากเป็นใหญ่ด้วยการแต่งตั้ง หรืออำนาจประชาชนกับอำนาจแอบแฝง คนที่มาจากการเลือกตั้งควรสรุปบทเรียนได้แล้วว่าท่านควรจะเดินทางไหน แต่ตนยังเชื่อว่าส่วนใหญ่จะเลือกเคียงข้างประชาธิปไตย
นายสมคิด กล่าวด้วยว่า สำหรับเรื่องการรณณรงค์ให้ประชาชนไปลงประชามตินั้น เป็นหน้าที่ของ กกต. ว่า จะเปิดกว้างเพียงใด อย่าให้เป็นลักษณะการมัดมือชก เล่นอยู่ข้างเดียว กกต. ควรถือโอกาสนี้สร้างความเชื่อมั่นว่าเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง มิใช่เป็นคณะกรรมการการเลือกข้าง หากทำได้ประชาชนเขาจะปรบมือให้
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ระบุว่า จะมีการเลือกตั้งในปี 2560 อย่างแน่นอนนั้น นอกจากคำยืนยันของ พล.อ.ประวิตร แล้ว ก็ยังมีกระแสเรียกร้องจากนานาชาติที่ให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว ก็ถือเป็นแรงกดดันอย่างยิ่ง แต่หากกฎกติกาที่นำมาใช้ในอนาคตถูกกำหนดขึ้นมาในแบบที่ต่างชาติมองว่า ไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตยที่สากลยอมรับได้ ก็น่าเป็นห่วงอย่างมาก ขณะนี้จะเห็นได้ว่าสื่อต่างชาติและองค์กรระหว่างประเทศและนานาประเทศ ก็จับตาเฝ้ามองไทยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่การรณรงค์และทำประชามติรับหรือไม่รับร่าง รัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้นในเดือน ส.ค. นี้
“ต่างชาติก็จะนำทุกระบวนการไปใช้เป็นตัวชี้วัดในการกำหนดทิศทาง และท่าทีความสัมพันธ์กับเราตลอดจนการตัดสินใจของนักธุรกิจต่างชาติที่จะเข้ามาค้าขายและลงทุนในบ้านเราด้วย”
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ที่สำคัญคือ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งนานาชาติจะจับตาดูว่ามีที่มาจากขบวนการที่ถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ มีอำนาจในการบริหารประเทศอย่างแท้จริงหรือไม่ เพราะจะส่งผลถึงความเชื่อมั่นต่อสังคมโลก ถ้านายกฯและรัฐบาลไม่ได้มาจากขบวนการที่ชอบธรรม จะไม่ได้รับความร่วมมือจากนานาชาติ ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในการบริหารประเทศ เศรษฐกิจจะตกต่ำ แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราได้ผู้นำประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ มีประสบการณ์มีความรู้ความสามารถในการบริหารงาน บริหารธุรกิจเป็นในสายตาของต่างชาติ ก็จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน เศรษฐกิจไทยก็จะกระเตื้องขึ้นโดยอัตโนมัติ และจะมีแรงดึงดูดให้ต่างชาติหลั่งไหลกล้าเข้ามาลงทุนในไทย
“เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พูดง่าย ๆ ว่า เถ้าแก่หน้าตาดีขายอะไรคนก็เข้ามาซื้อ วันนี้ผมแค่ตั้งข้อสังเกตและข้อห่วงใยที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งประชาชนทุกคนต้องคิดกันให้หนัก และคิดกันให้รอบคอบ”