ดุสิตโพล สำรวจความร่าง รธน.ที่ กรธ.รับฟังจากที่ คสช.เสนอ มองผลดีการคัด ส.ว.สรรหา โดย คสช.ได้คนที่หลากหลาย ผลเสียคือ ปชช.ไม่มีส่วนร่วม ไม่เป็น ปชต. ส่วนใช้สิทธิใบเดียว ชี้ผลดีประหยัดงบ-กำลังพล ข้อเสียจำกัดสิทธิ ส่วนข้อดีปมคงเสนอชื่อมีช่องเพื่อนายกฯ คนนอก มอง ปชช.รู้ล่วงหน้าพรรคส่งใครบ้าง ข้อเสียหวั่นออกมาค้านวุ่นวาย
วันนี้ (27 มี.ค.) “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง ประชาชนคิดอย่างไร? ต่อร่างรัฐธรรมนูญ จากที่ประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้มีข้อสรุปเกี่ยวกับข้อเสนอปรับปรุงเนื้อหาในบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญที่ คสช. สนอมา 3 ข้อ โดย กรธ.รับข้อเสนอ คสช. 2 ข้อ คือ “เปิดทาง ส.ว.สรรหา-เลือกนายกฯ นอกบัญชี” แต่ให้ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวตามที่ กรธ.ได้กำหนดไว้ เพื่อเป็นการสะท้อนความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งจากผลสำรวจจำนวนทั้งสิ้น 1,326 คน สำรวจระหว่างวันที่ 22-26 มีนาคม 2559 สรุปผลได้ ดังนี้
เมื่อถามว่าจากที่ กรธ. รับปรุงเนื้อหาในบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญที่ คสช.เสนอ ประชาชนคิดว่าการปรับปรุงเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญมีผลดี-ผลเสีย อย่างไร? ในการเห็นชอบให้มีวุฒิสภา จำนวน 250 คน โดยแบ่งเป็น ส.ว.จำนวน 200 คน มาจากการคัดเลือกของคณะกรรมการสรรหา จำนวน 8-10 คน ตามที่ คสช.กำหนด ส่วนอีก 50 คน มาจากการเลือกกันเองของส่วนภูมิภาคตามสาขาวิชาชีพ 20 ด้าน จำนวน 231 คน ก่อนเลือกให้เหลือ 50 คน ตามหลักเกณฑ์ที่ คสช.กำหนด ทั้งนี้ กำหนดให้บุคคลใน คสช.และผู้ดำรงตำแหน่งข้าราชการประจำสามารถเป็น ส.ว.ได้ โดย ส.ว.ไม่มีอำนาจ นการเลือกนายกฯ และเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ผลดี คือ
อันดับ 1 ได้คนที่มาจากหลากหลายสาขาอาชีพ และตัวแทนที่มาจากส่วนภูมิภาค 74.91%
อันดับ 2 ได้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงาน มีความเห็นมุมมองที่หลากหลาย 72.77%
อันดับ 3 ทำงานคล่องตัว เป็นอิสระ ตรวจสอบการทำงานได้ง่าย 62.51%
อันดับ 4 สานต่องานหรือนโยบายต่างๆ ที่กำหนดไว้ สามารถจัดการเลือกตั้งได้ตามเวลา 54.81%
ผลเสีย คือ
อันดับ 1 ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการเลือก ส.ว. ไม่เป็นประชาธิปไตย 77.29%
อันดับ 2 มีการทุจริตคอรัปชัน แบ่งพรรคแบ่งพวก เอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง 74.06%
อันดับ 3 อาจเกิดความขัดแย้ง หรือมีปัญหาในการทำงานภายหลัง 69.47%
อันดับ 4 ส.ว.ไม่มีสิทธิอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่มีอำนาจในการตรวจสอบเท่าที่ควร 63.10%
เมื่อถามว่ายืนยันให้ใช้ระบบการเลือกตั้ง ส.ส.แบบจัดสรรปันส่วนผสมด้วยการลงคะแนนในบัตรเลือกตั้งเพียงหนึ่งใบตามที่ กรธ.ได้กำหนดไว้
ผลดี คือ
อันดับ 1 ประหยัดงบประมาณ/กระดาษ/กำลังคน และเจ้าหน้าที่ 70.96%
อันดับ 2 การกาบัตรสะดวก เข้าใจง่าย กาเพียงใบเดียว 62.40%
อันดับ 3 เจ้าหน้าที่สามารถนับคะแนนได้เร็ว ตรวจสอบง่าย 59.22%
อันดับ 4 ระชาชนได้มีส่วนร่วม มีสิทธิมีเสียงในการตัดสินใจเลือก ส.ส.ที่ต้องการ 55.93%
ผลเสีย คือ
อันดับ 1 เป็นการจำกัดสิทธิประชาชน บังคับให้เลือกได้เพียงอย่างเดียว ความชื่นชอบพรรคต่อตัวบุคคลอาจไม่เหมือนกัน 70.15%
อันดับ 2 เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรงเพื่อแย่งชิงตำแหน่ง ส.ส. ทำให้เกิดการทุจริต ซื้อเสียง 68.90%
อันดับ 3 โอกาสของผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อที่จะได้รับเลือกเข้ามามีน้อยมาก 54.02%
อันดับ 4 อาจได้นักการเมืองหน้าเดิมๆ เข้ามา ไม่เกิดการพัฒนาทางการเมืองอย่างแท้จริง 49.73%
เมื่อถามว่าการเลือกนายกรัฐมนตรี กรธ.ยังคงยืนยันในหลักการที่ให้พรรคการเมืองต้องเสนอชื่อว่าที่นายกฯ จำนวน 3 คน ตามเดิม แต่หากเกิดกรณีสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถเลือกนายกฯ ได้ จะต้องมีการเปิดประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อลงมติ 2 ใน 3 เพื่อของดเว้นการบังคับใช้รัฐธรรมนูญเฉพาะส่วนที่เกี่ยวต่อการเลือกนายกฯจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง จากนั้น สภาฯจะเป็นผู้พิจารณาต่อไปว่าจะให้บุคคลใดมาดำรงตำแหน่งนายกฯ โดยบุคคลนั้นจะเป็นหรือไม่เป็น ส.ส.ก็ได้
ผลดี คือ
อันดับ 1 ประชาชนได้รู้ล่วงหน้าว่าแต่ละพรรคส่งใครเป็นนายกรัฐมนตรีบ้าง 81.33%
อันดับ 2 เปิดโอกาสให้คนนอก หรือคนที่ไม่ได้เป็น ส.ส.ได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี 61.51%
อันดับ 3 เป็นการแก้ปัญหาทางการเมืองร่วมกัน อยากเห็นบ้านเมืองเดินหน้าพัฒนาต่อไปได้ 58.87%
อันดับ 4 การเมืองไม่อึมครึม ข้อเสนอต่างๆ มีความชัดเจน จะได้รู้ทิศทางในการทำงาน 41.20%
ผลเสีย คือ
อันดับ 1 คนที่ไม่เห็นด้วยออกมาคัดค้าน เคลื่อนไหว สร้างความขัดแย้งวุ่นวายในสังคม 83.42%
อันดับ 2 คสช.ถูกมองว่าใช้อำนาจมากเกินไป เผด็จการ เป็นการสืบทอดอำนาจจาก คสช. 71.02%
อันดับ 3 หากเป็นนายกฯ คนนอกเข้ามาโดยที่ประชาชนไม่ได้เลือก อาจเกิดความไม่พอใจ 65.28%
อันดับ 4 หากที่มาของนายกรัฐมนตรีไม่โปร่งใส ไม่เป็นธรรม ต่างชาติอาจไม่ยอมรับก็เป็นได้ 60.74%