แฉก่อน “บิ๊กตู่” บินจีนประชุมเวทีผู้นำกรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 1 “ทูตจีน” รับคำสั่งรัฐบาลกรุงปักกิ่ง แจ้งกระทรวงการต่างประเทศไทย ฉวยจังหวะ “ภัยแล้งอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง” ปล่อยน้ำเพิ่ม อ้างข้อดี “เขื่อน” ให้ทูตเดินสายแจ้งพร้อม “ลาว-พม่า” เพิ่มการปล่อยน้ำ “กลุ่มรักษ์เชียงของ” จวกทวงบุญคุณทั้งๆ ที่เป็นต้นตอปัญหา
วันนี้ (17 มี.ค.) มีรายงานจากกระทรวงต่างประเทศแจ้งว่า ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ทำหนังสือถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ลงวันที่ 14 มีนาคม 2559 เนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า อัครราชทูตที่ปรึกษาสถานอัคราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้มาขอพบเพื่อแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยน้ำในแม่น้ำล้านช้าง (ชื่อแม่น้ำโขงในจีน) ว่าได้รับคำสั่งจากรัฐบาลกรุงปักกิ่งให้แจ้งฝ่ายไทยว่า โดยสภาวการณ์ภัยแล้งในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงยังคงมีแนวโน้มน่าวิตกมากขึ้นเป็นลำดับ ในการนี้เพื่อบรรเทาภัยแล้งและเพื่อป้องกันปัญหาดินเค็มเนื่องจากน้ำทะเลไหลทะลักบริเวณปากแม่น้ำโขงรัฐบาลจีนจึงตัดสินใจจะปล่อยน้ำเพิ่มในปริมาณ 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม ถึง 10 เมษายน 2559 มายังอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เป็น 2 เท่าของปริมาณน้ำในสภาวะปกติ
หนังสือยังระบุด้วยว่า แม้ว่าจีนจะมีพื้นที่ลุ่มน้ำเพียง 1/5 ของพื้นที่ลุ่มน้ำโขงทั้งหมดจีนใช้น้ำจากแม่น้ำล้านช้างร้อยละ 4 และน้ำที่ไหลออกจากจีนคิดเป็นเพียงร้อยละ 13.5 ของปริมาณน้ำที่ไหลออกสู่ทะเล แต่ด้วยการบริหารจัดการน้ำที่ดีโดยเฉพาะการสร้างเขื่อนบนลำน้ำล้านช้างซึ่งช่วยให้จีนมีศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำได้ดีขึ้นทำให้สามารถปล่อยน้ำได้เพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 70 ในช่วงน้ำแล้ง และมีศักยภาพในการกักเก็บน้ำมากขึ้นร้อยละ 30 ในช่วงน้ำหลาก จีนจึงมั่นใจว่าการสร้างเขื่อนของจีนจะยังประโยชน์ให้กับประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และจีนมุ่งมั่นพัฒนาการบริหารจัดการน้ำ
หนังสือดังกล่าวยังระบุด้วยว่า เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศพม่า ลาว และไทย แจ้งกระทรวงการต่างประเทศของแต่ละประเทศพร้อมกันในวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา จากการขอให้จีนยืนยันเรื่องการประสานข้อมูลดังกล่าว สถานทูตจีนได้แจ้งเพิ่มเติมว่ากระทรวงทรัพยากรน้ำของจีนได้มีหนังสือแจ้งเวียนถึงสถานทูตของประเทศที่เกี่ยวข้องที่กรุงปักกิ่ง และหน่วยงานด้านเทคนิคในพื้นที่ของฝ่ายจีนกำลังประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยงข้องของเมียนมา ลาว และไทย
ด้านนายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ และสมาชิกเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง เปิดเผยว่า ตนได้เห็นข่าวและข้อมูลที่ระบุว่าจีนได้ปล่อยน้ำจากเขื่อนจิงหง บนแม่น้ำโขงโดยระบุว่าเป็นการช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งให้แก่ประเทศท้ายน้ำ โดยเฉพาะที่ปากแม่น้ำโขงที่เวียดนาม ทั้งที่จริงๆ แล้วปัญหาแม่น้ำโขง ต้องพิจารณาให้ชัดเจนว่าปัญหาเกิดจากอะไรกันแน่ จู่ๆ ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติที่น้ำในแม่น้ำโขงจะแห้งลงไปเอง ทุกวันนี้สาธารณชนทุกคนมองไปที่เขื่อนจีนอยู่แล้ว
“ดูง่ายๆ ว่าเวลานี้แม่น้ำโขงแห้งเกิดปัญหา แล้วแม่น้ำสาละวินล่ะมีปัญหามั้ย สาละวินกับแม่น้ำโขงมีแหล่งกำเนิดเดียวกันไหลเคียงกันมาในยูนนาน สาละวินไม่มีปัญหานี้เลย แต่แม่น้ำโขงกลับมีปัญหา เพราะเขื่อนเยอะ เวลานี้มีแล้วถึง 6 เขื่อน การที่จีนประกาศปล่อยน้ำลงมาตอนนี้เหมือนมีพระคุณกับประเทศท้ายน้ำ ผมขอถามหน่อยเถอะว่าแล้วจีนเอาน้ำจากไหนมาปล่อย ก็คุณกักไว้แล้วในเขื่อนของคุณตั้ง 6 เขื่อนไง เขื่อนจีนคือปัญหาใช่ไหม คำถามจากผม ถามว่าคุณเอาน้ำมาจากไหนมาปล่อยให้คนท้ายน้ำ คุณเป็นคนเดียวที่กักน้ำ ไม่มีใครอีก คุณนั้นล่ะคือตัวปัญหาของแม่น้ำโขง ที่มาแถลงข่าวแบบนี้เป็นการแสดงออกแบบคนดี แต่ซ่อนต้นตอของปัญหา”
“คุณเอาน้ำมาจากไหน จากสวรรค์หรือ น้ำในแม่น้ำโขงนี้คือหิมะละลายจากเทือกเขาหิมาลัย ในหน้าแล้งก็ละลายไหลลงมา นี่คุณกักน้ำไว้ พอปัญหาเกิด คุณก็มาปล่อยน้ำ ทำเหมือนมีบุญคุณ แต่คุณระบายน้ำออกจากเขื่อนมากแบบนี้คุณได้ผลิตไฟฟ้าด้วย ได้ล่องเรือเอาสินค้ามาขาย แล้วยังมาได้บุญคุณอีกหรือ”นายนิวัฒน์กล่าว
ทั้งนี้ ตั้งแต่สัปดาห์นี้มา แม่น้ำโขงเพิ่มระดับขึ้นเห็นชัดเจน แต่ตามฤดูกาลแล้วนั้น ฤดูแล้งหลายเดือนชาวบ้านจะได้เก็บไก (สาหร่ายแม่น้ำโขง) ทั้งได้กิน ได้ขาย และเป็นอาหารของปลา รวมทั้งปลาบึก หน้าแล้งน้ำลง ชาวบ้านก็ได้ใช้พื้นที่ริมโขงทำการปลูกผักปลูกพืช แต่เมื่อน้ำขึ้นๆ ลงๆ ผันผวนตามการใช้งานของเขื่อน กลับเกิดปัญหาตลิ่งพัง ซึ่งการปล่อยน้ำเพื่อดันน้ำทะเลไม่ใช่ว่าดีเสมอไป ที่สำคัญคือเขื่อนที่กั้นแม่น้ำโขงทำให้เกิดความสับสนในการจัดการน้ำไปหมด แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำพิเศษที่มีฤดูกาล เป็นวัฏจักรมีความสมดุลของ แต่ระบบนิเวศเสียหายทันทีเมื่อเกิดเขื่อน
“สำหรับคนริมโขง ไม่ใช่ว่าหน้าแล้งเราอยากได้น้ำเยอะๆ อย่างที่เจ้าของเขื่อนอ้าง เราต้องการให้แม่น้ำโขงเป็นไปตามฤดูกาล” ครูตี๋กล่าว
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงเรื่องกำหนดการเดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีกำหนดการเดินทางไปเข้าร่วมประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 1 คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบต่อหลักการร่างปฏิญญาซานย่า การประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง-ล้านช้าง และให้ความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วม ว่าด้วยความร่วมมือด้านศักยภาพในการผลิตระหว่างประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง-ล้านช้าง
ทั้งนี้ การประชุมจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-24 มีนาคมนี้ ที่เมืองซานย่า มณฑลไหหลำ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยกรอบความร่วมมือดังกล่าวเป็นเวทีความร่วมมือที่จะส่งเสริมความร่วมมืออย่างรอบด้าน มุ่งไปที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนุภูมิภาค ลดความเหลื่อมล้ำด้านการพัฒนาโดยคำนึงถึงประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอย่างรอบด้าน เพื่อสนับสนุนการก่อตั้งประชาคมอาเซียน การให้ความสำคัญกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างนั้น นอกจากเป็นโอกาสสำคัญในการเปิดการพัฒนาในภูมิภาคแล้ว ยังเน้นบทบาทของไทย ในการมีบทบาทนำในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
การประชุมครั้งนี้จะมีการรับรองร่างปฏิญญาซานย่า การประชุมผู้นำของแม่น้ำโขง-ล้านช้าง และร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านศักยภาพในการผลิตระหว่างสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง-ล้านช้าง เพื่อดำเนินการทันทีภายใต้กรอบความร่วมมือนี้