เมืองไทย 360 องศา
“เป็นเรื่องที่ ผบ.ตร.ต้องแจ้งเอาผิด เพราะเป็นการกล่าวหาว่ามีการซื้อตำแหน่งตำรวจ ถือเป็นการทำลายองค์กร ตำรวจทำให้เกิดความเสียหาย คุณยอมไหม ใครมาทำลายชื่อเสียงองค์กรของตัวเอง
ตอนนี้ตำรวจกำลังปฏิรูปทุกด้านตามนโยบายนายกฯ หลายอย่างดีขึ้น เรื่องการทำคดี ซึ่ง ผบ.ตร.ก็กำลังทำอยู่ ตำรวจทุกคนก็ทำงานอย่างหนัก การปราบปรามมิจฉาชีพ และการทำคดี”
เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าไม่มีการซื้อขายตำแหน่งตำรวจ พล.อ.ประวิตรยืนยันว่า ถ้าผมยังอยู่ ไม่มีซื้อขายตำแหน่ง แต่อาจมีพวกตกเบ็ดว่าฝากคนนั้นคนนี้ได้ คนที่เชื่อก็ซวยไป
นั่นเป็นคำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) กล่าวถึงการดำเนินคดีต่อ พล.ร.อ.พะจุณฑ์ ตามประทีป สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กรณีส่งไลน์ระบุมีการซื้อขายตำแหน่งในการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจโดยพาดพิงถึง “พลเอก” นายหนึ่ง
ทั้งนี้ ตามรายงานข่าวระบุว่า ฝ่ายพนักงานสอบสวนโดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) จะมีการออกหมายเรียก พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เนื่องจากมีการกระทำความผิดเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2558 จากกรณีโพสต์ข้อความในกลุ่มไลน์เตรียมทหารรุ่น 12 และในไลน์กลุ่มตำรวจ ว่ามีนายทหารยศพลเอกซื้อขายตำแหน่งในการแต่งตั้งตำรวจ
พิจารณาตามรูปการณ์แล้วถือว่าไม่ธรรมดา แต่ฝ่ายถือว่ามีปูมหลังที่น่าสนใจชวนติดตามกันทั้งนั้น แม้ว่าในวันนี้ยังไม่อาจระบุได้ว่า “พลเอก” คนที่ว่านั้นเป็นใครกันแน่ แต่สำหรับ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป ตามแบ็กกราวนด์อย่างที่รู้กันแล้วว่าเคยใกล้ชิดกับ “ป๋า” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เคยเป็นนายทหารคนสนิท แม้ว่าในวันนี้สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นอดีต แต่ภาพเหล่านั้นย่อมติดตาหลายคน โดยเฉพาะในวงการต่างเคยเห็นภาพบางอย่างจนชินตา
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ณ เวลานี้ ในวงการก็รับรู้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพล มีอำนาจมากในบ้านเมืองเวลานี้ อาจจะเรียกได้ว่ามีอำนาจมากที่สุดด้วยซ้ำไป เพราะเวลานี้มีเครือข่าย “ทีมงาน” โยงใยครอบคลุมไปทั่วทุกวงการ
อย่างไรก็ดี สำหรับภาพลักษณ์ในสายตาชาวบ้าน หากพูดกันแบบตรงไปตรงมาก็ต้องบอกว่า ไม่น่าไว้ใจ หรือ “น่ากลัว” มากกว่า มากกว่าที่จะเป็นภาพลักษณ์อย่างอื่น
ขณะเดียวกัน เมื่อวกมาที่กรณีเรื่องข้อกล่าวหาการ “ซื้อขายตำแหน่ง” ในวงการตำรวจ และมีการกล่าวหาพาดพิงไปถึง “พลเอก” คนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องแบบนี้มีการพูดถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น “ได้ใจ” ทุกครั้ง จริงไม่จริงไม่รู้ และการปูดข้อมูลของ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป จะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่การที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แสดงออกแบบโมโหสั่งการให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดำเนินคดีต่อ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ทันที แบบไม่ต้องถามอะไรกันมากมาย แบบนี้รับรองว่าในสายตาชาวบ้านเป็น “ผลลบ” มากกว่าบวกแน่นอน
เพราะนาทีนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อาจจะไม่ทราบความรู้สึกของชาวบ้านว่าพวกเขามีทัศนคติกับตำรวจอย่างไร อาจจะเถียงว่าในยุคที่ คสช.เข้ามารวมทั้งตัวเขามาคุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ภาพลักษณ์ดีขึ้นก็อาจมองแบบนั้นได้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าหากมีการสอบถามว่าอยากให้มีการปฏิรูปหน่วยงานราชการใดมากที่สุด เชื่อเหลือเกินว่าการปฏิรูปตำรวจย่อมต้องติดอยู่ในความคิดหนึ่งในสามแน่นอน
ในความเป็นจริงแล้วเวลานี้ภาพลักษณ์ของตำรวจไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก และที่ผ่านมาการปฏิรูปตำรวจก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ ไม่ได้สร้างหลักประกันควาสมั่นใจให้กับชาวบ้าน มีแต่การแต่งตั้งที่เกิดขึ้นในยุคที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้ามาควบคุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และในอนาคตหากมีความจำเป็นต้องพ้นไปก็มีคนใหม่เข้ามา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าชาวบ้านจะ “ถูกหวย” อีกหรือไม่ ดังนั้นหากพิจารณากันแบบรวบรัดจากข้อมูลของ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป จะจริงเท็จแค่ไหนยังไม่รู้ แต่หากถามชาวบ้านส่วนใหญ่ว่าเชื่อหรือไม่ว่ามีการซื้อขายตำแหน่ง คำตอบก็คงพอเดาได้
ดังนั้น การที่สั่งให้ดำเนินคดีแบบ “แรง” ทันที แทนที่จะแสดงท่าทีเปิดกว้างรับฟังข้อมูลทุกด้านไปพร้อมกับการสอบสวนหาข้อเท็จจริง เชื่อว่าผลสะท้อนที่กลับมาจะเป็นลบมากกว่าบวก และน่าจะกระทบกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และรัฐบาล รวมไปถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติอีกด้วย!!