เมืองไทย 360 องศา
อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้จะเห็น ทักษิณ ชินวัตร โผล่หน้าออกมาวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และยังเชื่อว่าเขาจะออกมาโจมตีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และถี่ยิบมากขึ้น
แน่นอนว่าเป้าหมายการโจมตีของเขาไม่ว่าจะเป็นร่างรัฐธรรมนูญและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเมื่อพิจารณาเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญก็ชัดเจนว่ามีเป้าหมายในการสกัดกั้นคนโกง มีประวัติถูกยึดทรัพย์เข้าสู่สนามการเมืองตลอดชีวิต ซึ่งก็บังเอิญ ทักษิณ ชินวัตร ก็มีคุณสมบัติต้องห้ามดังกล่าวเสียด้วยซี และยังอาจเหมารวมไปถึงน้องสาวของเขาคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่กำลังเจอวิบากกรรมในเวลานี้อีกด้วย ขณะเดียวกันยังเป็นไปได้ว่าอาจครอบคลุมไปถึงลูกชายของเขา คือ พานทองแท้ ชินวัตร ที่กำลังถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบเส้นทางการเงินในคดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทยเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และอาจเจอตัวการสำคัญในไม่ช้านี้ก็ได้
สำหรับเป้าหมายการโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่คราวก่อน ทักษิณ ชินวัตร ได้บริภาษอย่างรุนแรงในทำนองว่า “บ้าอำนาจ” บริหารประเทศไม่ได้เรื่อง ทำบ้านเมืองถอยหลังลงคลอง แต่คราวนี้ ทักษิณ มีรายละเอียดเปลี่ยนไปจากเดิมบ้างนั่นคือเน้นคำว่า “ไม่ได้ทำผิด” และหากกลับมาก็ต้องถูกคุมขังหรือถูกกักบริเวณ และที่สำคัญ “พร้อมที่จะเจรจา”
หากพิจารณาจากบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมรอบตัวในเวลานี้ ถือว่าการออกมาของทักษิณ ชินวัตร ถูกที่ถูกเวลานัก เพราะเป็นช่วงที่มีการระดมความคิดเห็น เสนอแนะแก้ไขรัฐธรรมนูญในขั้นตอนสุดท้าย แม้ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปบงสาระสำคัญได้ แต่อย่างน้อยนับจากนี้มันน่าจะเป็นกระแสของการวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงวันลงประชามติที่กำหนดไว้ในโรดแมปราวเดือนเมษายนข้างหน้านี้
อย่างไรก็ดี ในบรรยากาศแบบนี้มีข้อกำหนดข้อห้ามปิดทางคนโกงเข้ามามีอำนาจตลอดชีวิต มิหนำซ้ำยังมีคนที่รักในครอบครัว ทั้งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนและน้องสาวที่ตัวเองเคยเชิดเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีกำลังถูกดำเนินคดีอาญา และคดีแพ่งเรื่องคดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทยที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่กำลังสาวเข้ามาใกล้ตัวทุกที คดีรับจำนำข้าวเสี่ยงติดคุก และเสี่ยงถูกยึดทรัพย์ตามมูลค่าความเสียหายหลายแสนล้านบาท เจอเข้าไปแบบนี้เป็นใครก็ต้องหัวเสีย สติแตกเป็นธรรมดา
ถึงได้บอกว่าเมื่อเจอสภาพแบบนี้มองอีกมุมหนึ่งก็สมควรเห็นใจเขาบ้างเหมือนกันว่ามันเครียดแค่ไหน
ขณะเดียวกัน อย่าได้แปลกใจที่สาระสำคัญในคำพูดของเขาก็คือ “การเจรจา” อ้างว่านี่คือการหาทางออกให้แก่บ้านเมือง เป็นการปรองดองอะไรแบบนี้ เพราะสิ่งที่เขาพูดความหมายสำคัญและความต้องการก็คือเรื่องนี้แหละ
อย่างที่รับรู้กันแล้วว่าทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญที่กำหนดคุณสมบัติเข้มข้นห้ามคนโกง และแก้ไขยาก ขณะเดียวกันยังมีทั้งลูกชาย น้องสาวที่โดนคดีสำคัญเสี่ยงคุก เสี่ยงถูกยึดทรัพย์ แถมยังมีบรรดาลูกน้องที่เคยเป็นมือเท้ามานานเสี่ยงที่จะถูกถอนประกันถูกอายัดบัญชีขยับได้ลำบาก ทุกอย่างมันเริ่มกระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้เขานั่งไม่ติด จึงต้องออกมาข่มขู่แต่ความหมายก็คือขอเจรจาให้ลบล้างความผิด ทั้งของตัวเองและเครือญาติเครือข่ายทั้งหลาย
แต่ขณะที่อีกด้านหนึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนาทีนี้คนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และทั้งคณะรักษาความสงบเรียบร้อยทุกคนคงรู้ดีแล้วว่าหากวันใดก็ตามเพียงแค่ขยับจะพูดคุยกับ ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นพวกเขาก็จะจบเห่ อนาคตคงดูไม่จืดแน่นอน ชาวบ้านจะออกมาเต็มท้องถนนอีกรอบ และเชื่อว่าคงจะมากมายกว่าคราวก่อนเสียด้วย ดังนั้นเชื่อว่าหนทางในการเจรจาคงเป็นไปไม่ได้ และที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยืนยันแล้วว่า “คุยกันทางกฎหมาย” เท่านั้น
อย่างไรก็ดีจากคำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่มาถูกที่ถูกเวลานี้แบบนี้มองอีกมุมหนึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะทำให้ “ลูกเข้าเท้า” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาคสามสงบแห่งชาติ (คสช.) ทันที เพราะเมื่อมีการวิเคราะห์กันหนักว่า ทักษิณ “เอาแน่” หลายคนก็เป็นห่วงว่าอนาคตข้างหน้าบ้านเมืองต้องวิกฤติอีกรอบหลังเลือกตั้ง ดังนั้นมันก็เหมือนกับ “แนวร่วมมุมกลับ” หรือเปล่า ที่เปิดทางให้ไฟเขียวข้อห่วงใยของรัฐบาลให้มีการกำหนดในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญเพิ่ม “กลไกพิเศษ” ช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี ได้สะดวกขึ้นหรือเปล่า น่าคิดเหมือนกันนะ!