MGR Online - ว่าที่สมเด็จพระสังฆราชผู้อื้อฉาว นั่งบีเอ็มดับเบิลยูทะเบียนเดียวกับรถเบนซ์โบราณเลี่ยงภาษี แสดงพระธรรมเทศนาวันมาฆบูชา ระบุ ทำความผิดอะไรมาก็มาบอกกล่าวให้ผู้อื่นทราบ ซึ่งจะทำให้ใจสบาย พระก็มีการปลงอาบัติ เหมือนศาสนาคริสต์มีสารภาพบาป
หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันนี้ (23 ก.พ.) ได้ตีพิมพ์ข่าวในหัวข้อ “ทำผิดปลงอาบัติได้ ‘ช่วง’ เทศน์เปรียบศาสนาคริสต์ก็มีสารภาพบาป” โดยในวันมาฆบูชาเมื่อวานนี้ (22 ก.พ.) สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้เดินทางไปที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม เพื่อแสดงพระธรรมเทศนา บริเวณลานหน้าพระประธานพุทธมณฑล หัวข้อ “วันมาฆบูชา” หนึ่งกัณฑ์ ด้วยรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 730 Ld ทะเบียน ขม 99 ซึ่งเป็นรถทะเบียนที่มีการโอนย้ายมาจากรถเบนซ์โบราณคันที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่า เป็นรถผิดกฎหมาย
สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เทศนาตอนหนึ่งว่า หลักคำสอนของศาสนาพุทธนั้น จริง ๆ แล้วมีไม่มาก มีเพียงแค่ 3 ข้อ คือ การไม่ทำความชั่ว การทำความดี และการทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส เราเป็นชาวพุทธควรจะต้องจำให้ได้ว่าพุทธศาสนาสอนอะไร เวลามีคนถามจะได้พูดตอบได้ และว่าทุกคนมีความเชื่อ เมื่อทำตามความเชื่อก็จะทำให้จิตใจสบาย เหมือนศาสนาคริสต์มีการสารภาพบาป พุทธเองพระก็มีการปลงอาบัติ เมื่อทำความผิดอะไรมาก็มาบอกกล่าวให้ผู้อื่นทราบ ซึ่งจะทำให้ใจสบาย แต่สิ่งที่ทำผิดมานั้นจะหมดไปหรือไม่นั้นไม่ทราบ
สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เทศนาต่อว่า ในเรื่องความดีกับความชั่ว ทั้งสองอย่างนี้มีผลต่างกัน ความดีให้ผลเป็นสุข ความชั่วให้ผลเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเอาไว้ ไม่ต้องไปดูที่ไหนไกล คนที่ทำความดีก็จะได้รับผลเป็นความสุข สบายใจเมื่อได้ทำความดี โดยไม่ต้องมีใครมาบอก มีบ้างหรือไม่ที่ทำความดี ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา แล้วทำให้เป็นทุกข์ โดยการทำดีนี้ผ่านกาย วาจา และใจ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ลักทรัพย์ ไม่พูดเท็จ หยาบคาย ไม่โลภอยากได้ของของคนอื่น ไม่ปองร้ายพยาบาท เมื่อทำอย่างนี้จะทำให้ไม่ขุ่นข้องหมองใจ เป็นความดีที่จะนำไปสู่สุคติ
“ความชั่วก็คือสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความดี ซึ่งจะนำไปสู่นรก คือ การทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับการทำดี ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ พูดเท็จ โลภอยากได้ของคนอื่น ในลักษณะอย่างนี้ เมื่อทำแล้วจิตใจก็จะเป็นทุกข์ ดังนั้น ก็ขึ้นอยู่กับกาย วาจา ใจ ของพวกเราทั้งนั้น อยู่ที่เราและเราทุกคนจะรู้เอง ญาติโยมทุกคน ขอให้ตั้งใจทำความดีกันเถอะ” สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เทศนา
อนึ่ง สำหรับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ ช่วง วรปุญฺโญ ชื่อเดิมคือ ช่วง สุดประเสริฐ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคมโดยสมณศักดิ์ และเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ (พระอารามหลวง) เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์หลังที่ประชุมมหาเถรสมาคมมีมติเสนอชื่อเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ แทนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ทรงละสังขารก่อนหน้านี้ แม้จะมีผู้ที่ออกมาคัดค้านก็ตาม
การแต่งตั้งสมเด็จช่วงเป็นพระสังฆราช ท่ามกลางข้อครหามากมาย อาทิ เป็นพระอุปัชฌาย์ให้กับพระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่มีกรณียักยอกเงินและที่ดินที่บรรดาญาติโยมบริจาคให้วัด มีพฤติกรรมการเผยแพร่คำสอนทางศาสนาอย่างไม่เหมาะสม และรับเช็คเงินบริจาคที่ยักยอกมาจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น รวมทั้งตัวสมเด็จช่วงยังมีส่วนพัวพันในคดีครอบครองรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ โบราณสีไข่ไก่ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร เลี่ยงภาษี ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พบว่า เป็นรถที่นำเข้าผิดกฎหมายทุกขั้นตอน
สำหรับการสารภาพบาปในศาสนาคริสต์นั้น ในคัมภีร์ไบเบิล บท 1 ยอห์น บทที่ 1 ข้อที่ 9 ระบุว่า “ผู้ใดสารภาพความผิดบาป ถ่อมใจมาหาเรา และขอให้เรายกโทษให้ เราจะยกโทษให้แก่เขาในความผิดบาปที่เขาได้กระทำมาทั้งสิ้น และยิ่งกว่านั้นเราจะให้สิทธิ์เขาเป็นบุตร (บุตรบุญธรรม) ของเราด้วย” และ ในบท 1 ยอห์น บทที่ 1 ข้อที่ 12 ระบุว่า “... ซึ่งสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสนั้นเป็นสิ่งที่จริงแท้และเชื่อถือได้อย่างแน่นอนเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง พระองค์จะไม่มุสาเลย”
โดยวิธีการสารภาพบาปขึ้นอยู่กับนิกายที่นับถือ เช่น คาทอลิก โปรเตสแตนท์ หรือออร์โธด็อกซ์ มีทั้งการอธิษฐานสารภาพบาปด้วยตัวเองเมื่อทำผิด และการสารภาพบาปต่อหน้าบาทหลวง โดยต้องเชื่อในพระเจ้า เชื่อว่า พระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ ต้องสำนึกว่าตัวเรานั้นเป็นคนบาป และไม่ควรยกเหตุผลแก้ตัว อย่างไรก็ตาม ในทางจิตวิญญาณได้รับการลบล้างบาป ถ้าเกิดความรู้สึกเกลียดชังบาป แสดงว่า พระเจ้าได้ชำระให้อภัยบาปหมดแล้ว แต่ในทางกฎทางสังคมมนุษย์ หรือกฎหมายบ้านเมือง ก็ต้องรับโทษตามสมควรได้รับ