xs
xsm
sm
md
lg

หวั่น “รัฐสภาใหม่” กลายเป็นซาก “พรเพชร” กังขาไร้อำนาจขนหน้าดิน - รื้อถอนอาคาร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พาสื่อตรวจสอบอาคารรัฐสภาใหม่ พบคืบหน้าแค่ 18% แม้ขยายเวลาแล้ว 900 วัน แต่คาดไม่เสร็จตามกำหนด กังขามีปัญหาคืนพื้นที่ แถมไม่มีอำนาจขนหน้าดิน - รื้อถอนอาคาร ต้องขอกรมธนารักษ์ หวั่นกก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญา จะกลายเป็นซาก

วันนี้ (17 ก.พ.) นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พร้อม นางสายทิพย์ ชวลิตถวิล เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร นางวรารัตน์ อติแพทย์ และคณะกรรมการบริหารโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ นำคณะสื่อมวลชนติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ บริเวณแยกเกียกกาย โดยนายพรเพชร ได้รับฟังการบรรยายสรุปและปัญหาอุปสรรคในการก่อสร้าง จากนั้นได้ลงพื้นที่ตรวจการก่อสร้าง

นายพรเพชร กล่าวว่า การก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่คืบหน้าได้เพียง 18% คงไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ตามกำหนดเวลาในสัญญาที่มีการต่อเวลาขยายจาก 900 วัน เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 58 ไปอีก 387 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 15 ธ.ค. 2559 ได้อย่างแน่นอน และยังไม่สามารถประเมินระยะเวลาก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อไร เนื่องจากมีปัญหาในเรื่องของการส่งมอบพื้นที่ที่ยังไม่ส่งมอบ 4 ส่วน คือ ศูนย์สาธารณะ 38 (กทม.) ชุมชนบ้านพักองค์การทอผ้า ห้องสมุด กทม. บ้านพัก อท.ศอ.พท. และโรงเรียนโยธินบูรณะ ซึ่งจากการประเมินแล้วเมื่อครบกำหนดสัญญาจะมีความคืบหน้าเพียง 30%

อย่างไรก็ตาม เมื่อตนเข้ามาทำหน้าที่บริหารสัญญาและติดตามก่อสร้างก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ซึ่งปัญหาหลักของการก่อสร้าง คือ เรื่องของการขนหน้าดินออกจากพื้นที่และการรื้อถอนอาคาร ซึ่งทางสภาไม่มีอำนาจการรื้อถอนได้ เพราะติดปัญหาขั้นตอนทางราชการ เนื่องจากต้องขออนุญาตจากกรมธนารักษ์ ทั้งนี้ ตนไม่ทราบในการทำโครงการ ผู้ลงนามในสัญญาไปลงนามทำสัญญาในลักษณะนี้ได้อย่างไร ทั้งผู้ว่าจ้าง และผู้รับจ้าง ทั้งที่ยังไม่มีการรื้อถอนอาคารต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ส่งมอบ ดังนั้น เมื่อครบสัญญาก็ต้องมาพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร และใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ

นายพรเพชร กล่าวว่า ตนขอตั้งข้อสังเกต ในเรื่องการต่อสัญญาเพื่อขยายเวลาการก่อสร้าง 900 วัน ทั้งที่โครงการก่อสร้างเป็นโครงการขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท ในขณะที่ยังมีปัญหาการคืนพื้นที่ให้พร้อมสำหรับการก่อสร้างได้ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับโครงการก่อสร้างอาคารหอประชุมกองทัพบก ที่เทเวศร์ ซึ่งเป็นโครงการที่เล็กว่าถึง 10 เท่า ก่อสร้างเพียง 3 ชั้น มีมูลค่าการก่อสร้างน้อยกว่า 4 - 5 เท่า แต่ทุกอย่างสามารถเคลียร์และส่งมอบพื้นที่ได้ทันตามกำหนดเวลาก่อสร้าง 1,250 วัน ซึ่งการต่อสัญญาโครงการก่อสร้างรัฐสภา ถือเป็นบทเรียนของทางราชการที่จะต้องระมัดระวังในการทำสัญญาลักษณะเช่นนี้ต่อไป ไม่อยากพูดเรื่องนี้มาก เพราะจะไปกระทบคนอื่นที่เคยทำมา ไม่รู้ไปตกลงกันได้อย่างไร ทั้งสองฝ่ายทั้งผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง

“เรื่องการก่อสร้างไม่มีการทุจริต มีเพียงปัญหาการขนดินจากโครงการเท่านั้น ส่วนใครที่จะรับผิดชอบหากไม่เสร็จทันตามกำหนด ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ไม่ใช่ผม เพราะผมมาบริหารสัญญา และจะประคับประคองให้การก่อสร้างเสร็จลุล่วง และให้เกิดความเสียหายทางราชการให้น้อยที่สุด แต่สิ่งที่คาดการณ์ได้ล่วงหน้า หากก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญาก็จะกลายเป็นซากไปไม่รู้อีกกี่ปี จะกลายเป็นเศษสนิม ที่จะต้องมีการฟ้องร้องกันต่อไปว่าใครผิดหรือถูก ซึ่งยังไม่รู้ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูกหรือไม่ และผมก็ไม่เข้าใจว่าไปต่อสัญญา 900 วันได้อย่างไร ทั้งที่มีอาคารที่ยังไม่รื้อถอนอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ใช่เป็นที่ดินโล่ง ๆ หากครบกำหนด 900 วัน และไม่เสร็จตามสัญญาก็ต้องมาชี้แจงผมว่า ไม่เสร็จเพราะอะไร ต้องดูเงื่อนไขสัญญาเป็นความผิดของใคร” นายพรเพชร กล่าว

ด้าน นายโชติจุฑา อาจสอน ที่ปรึกษาโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ชี้แจงถึงกรณีที่ผู้อำนวยการโรงเรียนโยธินบูรณะ ระบุว่า พื้นที่บริเวณโรงเรียนไม่ใช่พื้นที่โครงสร้างของอาคาร ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคในการก่อสร้าง ว่า การก่อสร้างอาคารจำเป็นต้องขนย้ายวัสดุและโครงเหล็กขนาดใหญ่ เข้ามาในบริเวณก่อสร้าง เพื่อประกอบ จึงต้องมีเนื้อที่สำหรับการวางอุปกรณ์ วัสดุต่าง ๆ รวมถึงช่องทางเดินรถ ดังนั้นการที่ทั้งโรงเรียนและชุมชนไม่คืนพื้นที่ตามกำหนดเวลา จึงเป็นอุปสรรคในการก่อสร้าง



















กำลังโหลดความคิดเห็น