นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับรองประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินเดีย พร้อมภริยา ส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ท่องเที่ยว วัฒนธรรม ความร่วมมือทางวิชาการ รวมถึงกลาโหม และความมั่นคง ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี ก่อนความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - อินเดีย จะครบรอบ 70 ปี ในปี 2560
วันนี้ (3 ก.พ.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 17.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้การต้อนรับ นายเอ็ม ฮามิด อันสารี รองประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินเดีย พร้อมด้วย นางซัลมา อันสารี ภริยารองประธานาธิบดี และคณะ ในโอกาสที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของทางรัฐบาล ระหว่างวันที่ 3 - 5 ก.พ. นี้ จากนั้นประธานาธิบดีอินเดียได้เดินตรวจแถวกองทหารเกียรติยศที่บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
จากนั้นผู้นำของสองประเทศจะหารือข้อราชการคณะเล็ก ภายในห้องโดมทอง ตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งจะเป็นการหารือถึงเรื่องความร่วมมือระหว่างกันของไทยและอินเดีย โดยประเด็นสำคัญ เช่น การส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจการเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุน การท่องเที่ยว วัฒนธรรม ความร่วมมือทางวิชาการ รวมถึงความร่วมมือด้านกลาโหม และความมั่นคง จากนั้นนายกฯ และรองประธานาธิบดีอินเดีย จะร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงระหว่างไทย - อินเดีย ภายในห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า
จากนั้น เวลาประมาณ 18.30 น. นายกฯ พร้อม นางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นเจ้าภาพงานอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแด่รองประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย และภริยา ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล ภายในตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ในโอกาสการเดินมาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ จะมีการหารือข้อราชการระหว่างรัฐบาลไทยแล้ว ยังจะมีการไปเยี่ยมชมการดำเนินงานโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา รวมถึงเดินทางไปปาฐกถาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพบปะหารือกับนักวิชาการด้านอินเดียศึกษา และเดินทางไปเยี่ยมชมวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) และพระบรมมหาราชวังในวันต่อไป ก่อนเดินทางกลับอินเดีย
สำหรับการเยือนไทยอย่างเป็นทางการในระดับรองประธานาธิบดีอินเดียครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี โดยก่อนหน้านี้ เคยมีรองประธานาธิบดีอินเดียเยือนไทย เมื่อปี 2501 และ 2509 จึงนับเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตร และรักษาพลวัตการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินเดียในทุกระดับให้มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - อินเดียจะครบรอบ 70 ปี ในปี 2560 นี้.
เวลา 17.25 น. นายกรัฐมนตรีหารือข้อราชการทวิภาคีกับรองประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ณ ห้องโดมทอง และการหารือเต็มคณะ ณ ห้องสีงาช้าง ด้านใน โดยมีผู้แทนระดับสูงฝ่ายไทย ประกอบไปด้วย นายกรัฐมนตรี, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม, พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี, รมว.การต่างประเทศ, รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการลงทุน ฯลฯ
ภายหลังหารือข้อราชการ พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ได้แก่ ในการหารือทวิภาคี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต้อนรับรองประธานาธิบดีอินเดีย โดยเห็นว่าการเดินทางเยือนไทยในครั้งนี้ จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่ดีอยู่แล้วให้แนบแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในปี 2560 ไทยกับอินเดียจะครบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 70 ปี ทั้งนี้ ไทยต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ในทุกมิติและทุกระดับ ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี โดยในโอกาสนี้ รองประธานาธิบดีแสดงความยินดีและประทับใจที่ได้มาเยือนประเทศไทย พร้อมกับกล่าวถวายคำอวยพรแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีนาถฯ
สำหรับ การแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับสูง โดยเฉพาะในโอกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี มีหมายกำหนดการเสด็จฯ เยือนอินเดียในปีนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมอินเดียที่จะจัดถวายการต้อนรับทั้งสองพระองค์อย่างสมพระเกียรติ โดยทางอินเดียได้แจ้งว่า ในช่วงการเสด็จเยือนของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ นั้น สภาวัฒนธรรมสัมพันธ์แห่งอินเดียจะทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล “WorldSanskrit Award” ครั้งแรกในฐานะที่ทรงมีบทบาทส่งเสริมภาษาสันสกฤตในต่างประเทศ
นอกจากนี้ รองประธานาธิบดีอินเดียได้ยืนยันคำเชิญจากนายกรัฐมนตรีอินเดีย ในการเชิญนายกรัฐมนตรี เยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและส่งเสริมความร่วมมืออย่างรอบด้านระหว่างกันมากขึ้น
สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงพัฒนาการทางการเมืองและเศรษฐกิจไทย รวมทั้งเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ 20 ปี ซึ่งอินเดียเห็นพ้องที่จะร่วมมือกับไทยตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดยจะเป็นการมองไปในอนาคต และสอดคล้องกับนโยบาย Act East ของอินเดีย ที่ให้ความสำคัญกับไทยและอาเซียน โดยไทยถือเป็นหุ้นส่วนของอินเดียทั้งทางด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจการค้า และทางวัฒนธรรม
นอกจากนี้ อินเดียต้องการเชื่อมโยงโครงการตามนโยบายของรัฐบาลอินเดีย อาทิ Make in India, Delhi-Mumbai Economic Corridor และ Smart Cities กับโครงการของรัฐบาลไทย ได้แก่ โครงการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมทวาย ซึ่งอินเดียขอบคุณที่ไทยตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา-ญี่ปุ่น และอินเดีย เพื่อสร้างความร่วมมือในโครงการดังกล่าว และยังได้แสดงความสนใจโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจตามแนวชายแดน และโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทย ทั้งทางตะวันออก-ตะวันตกและเส้นทางเหนือ-ใต้
ด้านการค้าการลงทุน อินเดียเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยที่ไทยและอินเดียมีศักยภาพที่จะขยายการค้าการลงทุนระหว่างกันได้อีกมาก และเห็นพ้องที่จะผลักดันปริมาณการค้าระหว่างกันให้สูงขึ้นในอนาคต โดยการเร่งผลักดันการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีไทยและอินเดียให้บรรลุผลโดยเร็ว เพราะจะเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยพร้อมสนับสนุนให้อินเดียเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นเช่นกัน โดยนายกรัฐมนตรีเสนอให้มีการพิจารณาลงทุนระหว่างกันใน 3 รูปแบบ ได้แก่ 1. การลงทุนระหว่างภาคเอกชน 2. การลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐ และ 3.การลงทุนในลักษณะการร่วมทุนแบบ PPP (Public Private Partnership)
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเสนอให้ความร่วมมือทางการเกษตรระหว่างกัน เนื่องจากอินเดียมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยเฉพาะด้านการแปรรูปสินค้า โดยเห็นว่า ไทย อาเซียนและอินเดีย ควรร่วมกันสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร มีการวางแผนและร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การผลิตสินค้า จนกระทั้งกระบวนการแปรรูป ตลอดจนการตลาด โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่าง demand และ supply ของสินค้าเกษตรในตลาดโลก
ด้านการท่องเที่ยว ปัจจุบันชาวอินเดียนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยปีละกว่า 1 ล้านคน ในขณะที่คนไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวที่อินเดียเพื่อสักการะสังเวชนียสถานเช่นกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะสนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างกัน อันเป็นการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน
สำหรับความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคง ไทย-อินเดียมีความร่วมมือที่ใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น คณะทำงานร่วมด้านความมั่นคงด้านการทหาร การต่อต้านยาเสพติดและการต่อต้านการก่อการร้าย การลาดตระเวนร่วมทางเรือ การฝึกผสมร่วม โดยทั้งสองฝ่ายมุ่งมั่นที่จะใช้ประโยชน์จากความร่วมมือที่มีอยู่ให้มีผลเป็นรูปธรรมต่อไปซึ่งจะมีส่วนช่วยส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาคต่อไป ทั้งนี้ อินเดียต้องการจะมีความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศกับไทยเพิ่มเติมด้วย โดยที่นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้อินเดียพิจารณาการเข้ามาลงทุนในการผลิตอะไหล่สำหรับอาวุธยุทโธปกรณ์ในประเทศไทย
ในตอนท้าย มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความร่วมมือในกรอบอาเซียน-อินเดีย ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า การสร้างความแข็งแกร่งให้ไทยและประเทศอาเซียนเป็นสิ่งจำเป็น และเสนอความร่วมมือแบบไทยบวกหนึ่ง อาเซียนบวกหนึ่ง เพื่อให้ประเทศในภูมิภาคก้าวไปข้างหน้าร่วมกันด้วยความมั่นคงและยั่งยืน พร้อมแสดงความยินดีต่อพัฒนาการความร่วมมือในกรอบอาเซียน-อินเดีย โดยเห็นพ้องที่จะผลักดันประเด็นที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย
อนึ่ง การเยือนประเทศไทยของรองประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย แสดงให้เห็นว่าอินเดีย หนึ่งในมหาอำนาจของภูมิภาค เห็นถึงความสำคัญของไทยในฐานะประเทศที่มีบทบาทนำในภูมิภาคอาเซียนและเป็นจุดเชื่อมโยงทางคมนาคมที่สำคัญระหว่างอินเดียกับเอเชียตะวันออก นอกจากนี้ทั้งสองประเทศยังมีนโยบายที่สอดรับกัน โดยระหว่างการหารือรัฐบาลอินเดียได้ย้ำถึงความต้องการที่จะกระชับความสัมพันธ์และร่วมมือกับไทยให้มากขึ้นในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน สำหรับนาย เอ็ม (โมฮัมมัด) ฮามิด อันสารี รองประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ยังเป็นประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่งและได้รับมอบหมายจากรัฐบาลอินเดียในด้านการต่างประเทศด้วย.