“ท่านขุนน้อย” ไทยโพสต์ ถ่ายทอดประวัติชีวิตการต่อสู้ในแวดวงสื่อเพื่อให้ปัญญากับสังคมของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ในห้วง 40 ปี ชี้แม้จะมีทั้งคนชื่นชมและชิงชัง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ทำให้ชาติบ้านเมืองเป็นประโยชน์เหนือกว่าโทษอย่างเทียบกันไม่ได้ ชี้ถ้าไม่มีสนธิบ้านเมืองจะตกอยู่ในทศวรรษแห่งความมืดมนไปอีกยาวนาน
วันนี้ (15 ส.ค.) หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้ตีพิมพ์ข้อเขียนของท่านขุนน้อย ในหน้าที่ 2 โดยใช้ชื่อข้อเขียนว่า “แด่ ... สนธิ ลิ้มทองกุล” ซึ่งเขียนถึงประวัติการทำหนังสือพิมพ์ การล้มลุกคลุกคลานจากการทำสื่อในสังคมไทยที่อยู่ในยุคของความอับจนทางปัญญาในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาของนายสนธิ ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ และอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืน จำคุก 20 ปี ข้อหาผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ โดยขณะนี้ถูกควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อรอกระบวนการการยื่นต่อสู้คดีในชั้นฎีกา
“ถ้าหากย้อนอดีตกลับไปแค่ไม่กี่สิบปี ความเป็น นักหนังสือพิมพ์ กับ การติดคุก นั้น ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาจนแทบอาจเรียกว่าเป็นคนละเรื่องเดียวกัน เอาเลยก็ว่าได้ แม้ว่าบางครั้งบางครา อาจไม่ใช่การติดคุกอันเนื่องมาจากข้อหาทางการเมืองไปซะทั้งหมด หรือไม่ใช่คดีหมิ่นประมาท ที่เกิดจากการวิพากษ์วิจารณ์ใครต่อใครในหนังสือของตน แต่การทำหนังสือพิมพ์ หรือการประกอบธุรกิจทางปัญญา ภายใต้สังคมที่เต็มไปด้วยความอับตันปัญญามานานนับเป็นศตวรรษๆ นั้น โอกาสที่จะเจริญรุ่งเรือง มีเงิน มีทอง มีอำนาจ จนแทบไม่ต้องเสียเวลามาติดคุกนั้น ยังไงๆ มันย่อมเป็นไปได้อยู่แล้วแน่ๆ...
“ถึงแม้ว่าโดยบุคลิกส่วนตัวของท่านนั้น...จะก่อให้เกิดความหวาน ความเปรี้ยว สำหรับใครต่อใครไปตามรสนิยมของใครก็ของมัน มีทั้งคนรัก คนเกลียด มีทั้งผู้ชื่นชมและชิงชังอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย แต่ถ้ามองถึงภาพรวมในความเป็นตัวตนของท่านแล้ว สิ่งที่ท่านได้ทำไว้ให้กับชาติ บ้านเมือง กับสังคม หรือแม้แต่ปัจเจกบุคคลในแต่ละรายแล้ว ล้วนนำมาซึ่ง ประโยชน์ที่เหนือกว่าโทษใดๆ อย่างชนิดแทบนำมาเทียบกันไม่ได้ พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากไม่มี ความกล้า หรือ ลูกบ้า ของคนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นตัวจุดประกายแล้ว ป่านนี้...เราทั้งหลายคงต้องตกอยู่ใ ทศวรรษแห่งความมืดมน ไปอีกนาน...” ท่านขุนน้อยระบุ
สำหรับข้อเขียนฉบับเต็มของท่านขุนน้อย แห่ง นสพ.ไทยโพสต์มีรายละเอียดดังนี้
แด่ ... สนธิ ลิ้มทองกุล
จากข่าว ไทยโพสต์ หน้า 3 เมื่อวันวาน...อธิบดีกรมราชทัณฑ์ คุณ วิทยา สุริยะวงศ์ ท่านได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คุณ สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการและอดีตแกนนำคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต้องเข้าไปอยู่ในคุกเกือบจะร่วมๆ สัปดาห์เข้าไปแล้ว ทำนองว่า...อยู่ๆ ไปก็น่าจะชินๆ ไปเอง อะไรประมาณนั้น...
--------------------------------------------
ถ้าแกะประโยคออกมาแบบคำต่อคำ ท่านบอกเอาไว้ยังงี้ว่า “นายสนธิได้ถูกจำคุกมานานเกือบสัปดาห์แล้ว จึงเชื่อว่าน่าจะทำใจและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมภายในเรือนจำได้ และทางญาติก็ไม่เคยมาขอร้องอะไรเป็นพิเศษ ส่วนอาการเจ็บป่วยโรคประจำตัวของนายสนธิก็ไม่น่าห่วง หากเกิดกรณีฉุกเฉิน ทางเรือนจำมีทีมแพทย์พร้อมให้การช่วยเหลือทันที” คือเป็นการแสดงความคิด ความเห็น แบบกว้างๆ ไปตามภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย และก็ไม่ได้มีอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อคุณ สนธิ หรือญาติ มิตร มากมายซักเท่าไหร่นัก...
-----------------------------------------------
แต่ที่อดไม่ได้ที่จะต้องหยิบเอามาพูดถึงก็คือว่า...อันที่จริงถ้าหากคุณ วิทยา ท่านเป็น ลูกหม้อ กรมราชทัณฑ์ เคยรับรู้เรื่องราวต่างๆ ในคุกมาโดยตลอด ท่านน่าจะพอรับทราบได้ว่า คนอย่างคุณ สนธิ ลิ้มทองกุล นั้น ถือเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับคุก กับเรือนจำ มาในชนิดที่แทบไม่ต้องเสียเวลาปรับตัวใดๆ เอาเลยก็ว่าได้ แค่ถอดกางเกงขายาวใส่กางเกงขาสั้น หิ้วถุงเสื้อผ้าไม่กี่ชุด ก็สามารถบินปร๋อเข้าไปเรือนจำ ทักทายกับคนโน้น คนนี้ ได้สบายๆ แถมอาจหันมาสั่งสอนให้คนที่เป็นห่วง เป็นใย รู้จัก ทำใจ และ ปรับตัว รับอารมณ์ความรู้สึกที่หดหู่ เจ็บปวดรวดร้าวแทนตัวเองได้ซะอีกต่างหาก...
-------------------------------------------------
เพราะตั้งแต่กว่า 30 หรือเกือบจะ 40 ปีมาแล้ว...คุณ สนธิ ท่านก็เคยเข้าไปนอนเขลงในเรือนจำ นับเป็นเดือนๆ หรือเกือบครึ่งปีเห็นจะได้ แถมยังเป็นเรือนจำดั้งเดิมที่ทุกวันนี้ถูกรื้อทิ้งไปแล้ว เรียกว่า...ทั้งโทรม ทั้งน่าหดหู่ น่าทุเรศเวทนาเป็นอันมาก แต่ สนธิ ลิ้มทองกุล นั้นก็ยังคงเป็น สนธิ ลิ้มทองกุล ตามแบบฉบับของแท้และดั้งเดิมตั้งแต่เล็กจนโต หรือตั้งแต่หนุ่มจนแก่นั่นแหละ เท่าที่ ท่านขุนน้อย มีโอกาสแวะไปเยี่ยมท่านมาตั้งแต่ครั้งนั้น แทนที่จะได้สีหน้าแววตาของคนที่กำลัง ทำใจ หรือคนที่กำลัง ปรับตัว ท่านกลับออกอาการเอิ๊กๆ อ๊ากๆ หัวร่อร่วนเป็นไข่เค็ม พร้อมที่จะยืนหยัดอยู่กับจุดยืนในแบบ ไม่มี-ไม่หนี-ไม่จ่าย ไปโดยตลอด...
-----------------------------------------------------
พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากย้อนอดีตกลับไปแค่ไม่กี่สิบปี ความเป็น นักหนังสือพิมพ์ กับ การติดคุก นั้น ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาจนแทบอาจเรียกว่าเป็น คนละเรื่องเดียวกัน เอาเลยก็ว่าได้ แม้ว่าบางครั้ง บางครา อาจไม่ใช่การติดคุกอันเนื่องมาจากข้อหาทางการเมืองไปซะทั้งหมด หรือไม่ใช่คดีหมิ่นประมาท ที่เกิดจากการวิพากษ์ วิจารณ์ ใครต่อใครในหนังสือของตน แต่การทำหนังสือพิมพ์ หรือการประกอบ ธุรกิจทางปัญญา ภายใต้สังคมที่เต็มไปด้วยความอับตันปัญญามานานนับเป็นศตวรรษๆ นั้น โอกาสที่จะเจริญรุ่งเรือง มีเงิน มีทอง มีอำนาจ จนแทบไม่ต้องเสียเวลามาติดคุกนั้น ยังไงๆ มันย่อมเป็นไปได้อยู่แล้วแน่ๆ...
-----------------------------------------------------
โดยเฉพาะถ้าหากนักหนังสือพิมพ์เหล่านั้น ไม่คิดจะหาเศษ หาเลย ไม่คิดจะเอารัด-เอาเปรียบสังคม ด้วยการจำหน่ายจ่ายแจก ยาพิษ ภายใต้ยี่ห้อความเป็นหนังสือพิมพ์ หรือความเป็นสื่อมวลชนใดๆ ก็แล้วแต่ โอกาสที่คว้าเงิน คว้าทอง มาได้เป็นกอบเป็นกำ คว้าอำนาจ บารมี จนนักการเมือง ทหาร ตำรวจ ฯลฯ ต้องหันมาศิโรราบ ยอมอ่อนน้อม ค้อมหัว หอบของขวัญ ช่อดอกไม้ ไปให้ทุกๆ วันเกิด วันแต่งงาน วันโกนจุกของลูกๆ หลานๆ ต้องเรียกว่า...แทบเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!!!
---------------------------------------------------
และเผอิญว่า...ตั้งแต่เล็กจนโต หรือตั้งแต่หนุ่มจนแก่ นักหนังสือพิมพ์อย่างคุณ สนธิ ลิ้มทองกุล ท่านไม่ค่อยเป็นมวยเป็นเอาซะเลย ในเรื่องการหันมาทำมาหารับประทานด้วยการออกหนังสือประเภทหนังสือโป๊ หนังสือแหกตา หนังสือประเภทมอมเมาผู้คนในสังคมที่เดิมทีก็เมาๆ อยู่แล้ว ให้เมาหนักยิ่งขึ้นไปอีก คือท่านโตมาจากหนังสือประเภทที่เรียกว่า แนวคุณภาพ ยังไงๆ ก็ต้องหาทางสอดแทรกสติ ปัญญา ความรู้สึกนึกคิดในด้านที่เป็นประโยชน์ให้แก่ผู้คนในสังคมมาโดยตลอด เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะเจ๊ง...กับ...เจ๊ง ทุนหายกำไรหด เดี๋ยวกำไร เดี๋ยวขาดทุน ล้มลุกคลุกคลานมาตั้งแต่เล็กจนโต พลาดท่าติดคุกตอนหนุ่มแล้วยังต้องมาติดคุกตอนแก่ซะอีก ก็ด้วยเหตุที่ท่านยังคงยืนหยัดอยู่ในจุดเดิมๆ ของตัวเอง อย่างไม่คิดจะเปลี่ยนแปรเอาเลยแม้แต่น้อยนั่นเอง...
---------------------------------------------------
ถึงแม้ว่าโดยบุคลิกส่วนตัวของท่านนั้น...จะก่อให้เกิดความหวาน ความเปรี้ยว สำหรับใครต่อใครไปตามรสนิยมของใครก็ของมัน มีทั้งคนรัก คนเกลียด มีทั้งผู้ชื่นชมและชิงชังอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย แต่ถ้ามองถึง ภาพรวม ในความเป็นตัวตนของท่านแล้ว สิ่งที่ท่านได้ทำไว้ให้กับชาติ บ้านเมือง กับสังคม หรือแม้แต่ปัจเจกบุคคลในแต่ละรายแล้ว ล้วนนำมาซึ่ง ประโยชน์ ที่เหนือกว่า โทษ ใดๆ อย่างชนิดแทบนำมาเทียบกันไม่ได้ พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากไม่มี ความกล้า หรือ ลูกบ้า ของคนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นตัวจุดประกายแล้ว ป่านนี้...เราทั้งหลายคงต้องตกอยู่ใน ทศวรรษแห่งความมืดมน ไปอีกนาน...
---------------------------------------------------
ด้วยเหตุนี้...ถึงแม้ว่า กฎหมายย่อมต้องเป็นกฎหมาย แต่ภาพของผู้ซึ่งมุ่งมั่นจะทำประโยชน์ และเคยทำประโยชน์ให้กับสังคมครั้งแล้ว ครั้งเล่า กลับต้องมาติดคุก ติดตะราง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ถูกลอบฆ่า ถูกข่มขู่ คุกคาม ครั้งแล้ว ครั้งเล่า จนแทบหาความสงบในชีวิตแทบไม่เจอ แม้กระทั่งแก่ๆ ใกล้จะแง้มฝาโลงเข้าไปทุกที อันนี้...ต้องยอมรับว่า ออกจะเป็นอะไรที่น่าหดหู่เอามากๆ ยิ่งไม่รู้ว่าตั้งแต่ชาติปางก่อนคุณ สนธิ ท่านได้กระทำกรรมอะไรเอาไว้ ชาตินี้...เลยต้องเจอกับทั้ง กฎหมู่ และ กฎหมาย โดยแทบไม่ได้รับอานิสงส์จาก “กฎแห่งกรรม” ตามกรรมดีที่ท่านได้เคยกระทำเอาไว้ไม่น้อย...
------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก Sanskrit saying... “When thou go away from here, no one will follow thee. Only the good and thy evil deeds, they will follow thee wherever thou goes.- เมื่อท่านลาจากโลกนี้ไป ไม่มีผู้ใดจะไปกับท่าน มีแต่กรรมดีและกรรมชั่วเท่านั้นที่จะติดตามท่านไปทุกหนทุกแห่ง...”.