โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อ้างข้อมูลกรมชลประทาน ชี้ชัดน้ำน้อยจากเหตุท่วมปี 54, จ่ายน้ำเข้านาตามโครงการรับจำนำข้าว แถมสร้างแหล่งเก็บน้ำ และระบบส่งไม่สอดคล้องสภาพพื้นที่ พบจัดงบทำเฉพาะฐานเสียงนักการเมือง ลงทุนซ้ำ ๆ ขาดการเชื่อมโยง ไม่สร้างความเข้าใจให้เกษตรกรทราบพื้นที่ใดควรปลูกพืชชนิดไหน แล้วนำมาเป็นตัวประกัน ชูแผนบริหารจัดการน้ำยาว 12 ปี เจาะให้แคบลงในระดับอำเภอ จังหวัด วอนทุกฝ่ายร่วมมือ
วันนี้ (31 ม.ค.) พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามข้อมูลของกรมชลประทาน ปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนทั่วประเทศปี 58/59 เหลือเพียง 4,247 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเป็นผลมาจากการระบายน้ำออกจำนวนมากตั้งแต่ปี 54/55 เพื่อป้องกันน้ำท่วม และจ่ายน้ำเข้าพื้นที่นาตามโครงการรับจำนำข้าว รวมทั้งเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงทำให้น้ำในเขื่อนลดลงอย่างต่อเนื่อง
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังพบว่าในอดีตที่ผ่านมา มีการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำและระบบส่งน้ำที่ไม่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ และความต้องการน้ำที่แท้จริง โดยมีการจัดสรรงบประมาณสร้างแหล่งน้ำเฉพาะพื้นที่ที่เป็นฐานคะแนนเสียงของนักการเมือง ขาดการวางแผนแยกแยะอย่างเป็นระบบ ว่า บริเวณใดเป็นพื้นที่การเกษตรที่มักขาดแคลนน้ำ หรือบริเวณใดเป็นแหล่งชุมชนที่ประชาชนต้องการใช้น้ำประปาเพื่อการอุปโภคบริโภค ส่งผลให้การเกิดการลงทุนในพื้นที่ซ้ำ ๆ ขาดความเชื่อมโยงในการบริหารจัดการน้ำ
“ซ้ำร้ายยังไม่เคยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับเกษตรกร ว่า พื้นที่ใดควรปลูกพืชชนิดใดจึงจะเหมาะกับสภาพภูมิประเทศ หรือมีน้ำเพียงพอหรือไม่ แต่กลับปล่อยให้เกษตรกรคิดเองทำเอง ทำเพื่อขาย ส่งเสริมให้ปลูกพืชราคาดีจำนวนมากเกินไปจนล้นตลาดและราคาตกมาจนถึงทุกวันนี้ เช่น ข้าว ยางพารา ฯลฯ ถือเป็นการนำเกษตรกรมาเป็นตัวประกัน ให้รอคอยการช่วยเหลือ สร้างบุญคุณ และคะแนนนิยม” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
พลตรี สรรเสริญ กล่าวต่อว่า รัฐบาลนี้พยายามแก้ไขปัญหาให้ถูกจุด และสร้างความยั่งยืนด้วยแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำระยะยาว 12 ปี ภายใต้หลักประชารัฐ เปลี่ยนมุมมองจากการพิจารณาเฉพาะภาพกว้างในระดับลุ่มน้ำ เป็นการเจาะพื้นที่แคบลงในระดับอำเภอและกลุ่มจังหวัด เพื่อให้เห็นปัญหาที่แท้จริง
“ท่านนายกฯ มองปัญหาอย่างรอบด้าน และต้องการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ โดยไม่ได้สนใจคะแนนเสียง แต่การดำเนินงานจำเป็นต้องใช้เวลาและงบประมาณจำนวนมาก รัฐบาลนี้จึงวางรากฐานเพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาวและส่งให้รัฐบาลต่อไป จึงขอให้ทุกฝ่ายทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นและร่วมมือร่วมใจกันอย่างจริงจัง เพื่ออนาคตของประเทศ ทั้งนี้ หากไม่ดำเนินการ ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนและเกษตรกรก็จะเกิดขึ้นอย่างไม่มีวันสิ้นสุด และกลับเข้าสู่วังวนเดิม ๆ คือ การทำเพื่อหวังผลทางการเมืองต่อไป” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว