xs
xsm
sm
md
lg

ด็อกเตอร์หักหัวคิว-ปฏิวัติซ้อน “ประยุทธ์” ชิงสยบของร้อนก่อนลาม!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมืองไทย 360 องศา

“ผมพูดแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องมาสู้รบ ถามว่าทหารน่ารังเกียจตรงไหน เขาพยายามสลายทหารให้ได้ ดังนั้นขอให้ไปบอก ใครก็ไม่รู้ว่าเราไม่ได้หวงสถาบัน แต่เราต้องเป็นแกนให้รัฐและประชาชนช่วยกัน รัฐบาลนี้แม้ว่าผมจะใช้กฎหมายพิเศษ การพบปะนานาประเทศเขาก็ยินดี ยกเว้นคนในประเทศไม่เข้าใจ ผมประกาศแล้วว่าทุกอย่างเป็นไปตามโรดแมป มีทหารได้อะไรมากกว่าที่คิด ทหารไม่มีค่าย ไม่มีแบ่งขั้ว กระแสปฏิวัติซ้อนผมไม่กลัว ใครพร้อมยกมือมาเลย อย่าไปเชื่อพวกยุแยงตะแคงรั่ว ไม่มีใครอยากได้ตำแหน่งอะไรทั้งนั้น ทุกคนที่เข้ามาเป็นคนดี อย่าดูถูกหัวใจทหารมากเกินไป”

“วันนี้ทุกคนทำงานหนัก เพราะปัญหาสะสมมาเป็นเวลานาน นี่คือสาเหตุที่ต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ฉะนั้นขอให้พวกเราทุกคนไปสร้างความเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะแตกต่างกับฉบับที่แล้ว เพราะมีเรื่องการปฏิรูปทุกอย่างภายในประเทศ ส่วนคนที่พยายามป้ายเรื่องทุกอย่างให้กับประเทศ ตนถามว่าเป็นคนไทยหรือไม่ ที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกัน อยากจะพูดตรงนี้ยาวๆ ในหมู่พี่น้องทหารด้วยกัน เพราะอยากจะคุยกับใครสักคนที่เข้าใจเรา มันเป็นภาระความรับผิดชอบที่กดดันตนทุกวัน เราเลยต้องทำงานหนักเพื่อให้คนเข้าใจ และต้องวางรากฐานทุกอย่าง

เพราะยังมีคนทำร้ายกันเองอยู่ ที่ผ่านมามี ดร.คนหนึ่งอ้างว่ารู้จักผมและรองนายกฯ เพื่อต้องการเอาโครงการต่างๆ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเป็นใคร ปัญหาคนของเราคือไม่ซื่อสัตย์ ไม่รักษาสิทธิประโยชน์ของตัวเอง โกงไปหมด วันหน้าคงอยู่ไม่ได้ในประเทศไทย เราต้องสร้างความเป็นปึกแผ่นให้ได้ ประเทศชาติสำคัญที่สุด ไม่ชอบผม ไม่ชอบรัฐบาลก็ได้ แต่ต้องชอบประเทศไทย”

นั่นเป็นคำพูดบางช่วงบางตอนที่คัดเอาเฉพาะส่วนที่มีความหมาย “แบบเฉพาะเจาะจง” เนื่องจากเห็นว่าเป็นคำพูดที่มีเจตนาแฝงความหมายสำคัญ โดยเป็นคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติระหว่างเป็นประธานวันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหารครบ 58 ปี และงานเกียรติยศจักรดาว ปี 2559 โรงเรียนเตรียมทหาร จ.นครนายก เมื่อเช้าวันพุธที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา

โดยวันสถาปนาดังกล่าวยังมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และอดีตทหารที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี รวมถึง พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม, พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการเหล่าทัพ และพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งศิษย์เก่าทุกรุ่นร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง ขาดเพียง พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ที่ติดภารกิจไปต่างประเทศ แต่มอบหมายให้ พล.อ.วลิต โรจนภักดี รองผู้บัญชาการทหารบก มาเป็นตัวแทน

จากคำพูดดังกล่าวต้องการสะท้อนให้เห็นเฉพาะประเด็นสำคัญสองเรื่องใหญ่คือ “ด็อกเตอร์แอบอ้างชื่อนายกฯ และรองนายกฯ หักค่าหัวคิวทุจริต” กับ “ข่าวปฏิวัติซ้อน” แน่นอนว่าทั้งสองเรื่องล้วนมีผลสร้างแรงสั่นสะเทือนพอสมควร

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาตามข้อเท็จจริงก็ต้องยอมรับว่าทั้งสองเรื่องดังกล่าวยังไม่อาจพิสูจน์ได้ชัดเจน คงไม่มีใครทิ้งหลักฐานให้เห็นแน่นอน เพราะถือว่าเป็น “ของร้อน” อีกทั้งต้องรอให้เกิดขึ้นเสียก่อนถึงจะบอกได้ว่าเป็นความจริง แต่ถ้าบอกว่าเป็น “กระแสข่าว” มีเสียงซุบซิบ เป็น “ข่าวลือ” มีการพูดถึงกันแบบวงในก็ต้องบอกว่ามีมานานพอสมควรแล้ว โดยเฉพาะเรื่อง “ปฏิวัติซ้อน” แต่คำถามก็คือเวลานี้มีใครบ้างที่มี “ศักยภาพ” สามารถดำเนินการแบบนั้นได้ เพราะนาทีนี้คนที่มีอำนาจมากที่สุดล้วนอยู่ในมือของ “พี่น้องบูรพาพยัคฆ์” นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภายใต้การค้ำจุนของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ดังนั้น คำพูด “กลางวง” บิ๊กทหารทุกเหล่าทัพที่บอกว่า “ใครพร้อมก็ยกมือออกมาเลย” มันก็เหมือนกับการพูดแบบนักเลงตามประสาพี่น้อง ไม่มีอะไรต้องติดใจซึ่งกันและกัน แต่อีกมุมหนึ่งหากมองแบบให้คิดก็มองให้มีความหมายได้เหมือนกัน นั่นคือเป็นการ “ส่งสัญญาณเตือน” กันกลายๆ เพราะการพูดกลางวงแบบนี้เป็นการ “ตั้งใจพูด” ไม่ใช่เป็นการตอบคำถามของสื่อมวลชน และในเวลานี้ “ข่าวปฏิวัติซ้อน” ถือว่ายังเงียบ คนภายนอกสังเกตหรือรับรู้ได้ยาก ยกเว้นคนในวงการเดียวกันเท่านั้นที่อาจจับสัญญาณผิดปกติบางอย่างก็ได้

ส่วนอีกประเด็น “หักค่าหัวคิว” ที่มีข่าวแอบอ้างชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แม้ว่าตามข่าวยังสับสนว่าคนที่เป็นด็อกเตอร์ไปแอบอ้างหรือว่าคนที่เป็นด็อกเตอร์ดังกล่าวนำเรื่องมาเปิดโปงทางทีวี เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ พูดสองครั้งไม่เหมือนกัน หรือไม่ก็สื่อฟังมาไม่ชัดทำให้สรุปไม่ได้เต็มร้อย แต่ประเด็นก็คือ “มีการแอบอ้างซื่อนายกฯ และรองนายกฯ ไปหาผลประโยชน์ หักค่าหัวคิวจากโครงการต่างๆ ของรัฐ” ซึ่งเรื่องแบบนี้แหละถือว่าเป็น “ของร้อน” อย่างแท้จริง

เพราะปมฉาวเรื่องทุจริตนี่แหละที่สั่นสะเทือนรัฐบาลมาทุกยุคสมัย ตามประวัติไม่ว่าจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จแค่ไหนถ้าเจอเรื่องแบบนี้เข้าไปเมื่อไหร่เป็นอันต้องซวนเซหรือล้มไปในที่สุด เป็นแบบนี้มานักต่อนักแล้ว และบทเรียนสดๆ ร้อนๆ ก็คือ “ปมหัวคิวอุทยานราชภักดิ์” นั่นไง ที่ทำเอามือไม้ปั่นป่วนไปพักใหญ่

อย่างไรก็ดี สำหรับข่าว “เรียกค่าหัวคิว” แอบอ้างชื่อแบบนี้หากจำกันได้มีข่าวเมาท์กันมาพักใหญ่แล้ว หากจำไม่ผิดเป็นระดับบิ๊กคนหนึ่งในภาคธุรกิจเอกชน ที่เคยออกมาแฉเรื่องนี้พูดในทำนองว่า “การทุจริต” ในยุครัฐบาล คสช.ยังไม่ได้ลงเลย ตรงกันข้ามยังสูงกว่าเดิมเสียอีก เพียงแต่ว่าเป็นการพูดแบบลอยๆ ยังไม่มีหลักฐานออกมาแฉแบบจะจะ แล้วก็เงียบหายไป มาวันนี้ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกมาเต้นกับเรื่องนี้ สั่งให้มีการสอบสวนเอาผิดอย่างจริงจัง ก็ย่อมไม่ธรรมดา

อีกทั้งยังมองได้ว่า “อาจเป็นเรื่องจริง” เพราะถ้าไม่รีบจัดการจริงจังเฉียบขาด มันจะสร้างแรงสั่นสะเทือนหนักกว่าคราวก่อน อาจลามถึงขั้นพังกันทั้งขบวน ต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลมเสียก่อน!!
กำลังโหลดความคิดเห็น