รมต.สำนักนายกฯ เผยถกวิปแม่น้ำ 3 สายวางปฏิรูปเรื่องหลัก กำหนดให้ชัดทำอะไรบ้าง แก้ กม. 126 ฉบับ ดัก กม.เปิดเผยข้อมูลสาธารณะ รวมเอกชนเป็นเรื่องใหญ่ รับบางหน่วยงานให้ข้อมูลไม่ได้ ปมราชภักดิ์ยังมาไม่ถึง ชี้แยกสืบสวนจาก สตช.ไม่ใช่เรื่องหลัก เน้นให้ความเป็นธรรม ปชช. พศ.ยังไม่ส่งรายงานแจงตั้งสังฆราช ลั่นไม่ถ่วงเวลา ขอให้ใจเย็น ส่อเตือนพระวัดบัวขวัญลงอักขระตุ๊กตาลูกเทพ
วันนี้ (27 ม.ค.) ที่ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานฝ่ายรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประสานงาน รวม 3 ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) ครั้งที่ 2/2559 ว่า ในที่ประชุมรับทราบความคืบหน้า ที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ตั้งผู้ประสานงานกับรองนายกรัฐมนตรี 6 คนในการร่วมทำงานเพื่อขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ โดยเรื่องหลักที่จะปฏิรูปคือ การต่อต้านทุจริต การลดความเหลื่อมล้ำในสังคม การเมือง กระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย โดยทั้งหมดนี้จะเป็นกรอบในการเร่งรัดปฏิรูประยะที่ 1 ทั้งนี้ในการทำงานต้องมีการประสานงานระหว่างรัฐบาล, สนช. และ สปท. และต้องกำหนดให้ชัดว่าภายใน 1 ปี 6 เดือนจะดำเนินการในเรื่องหลักอะไร ซึ่งในระดับกรรมาธิการจะมีการหารือกัน 2 สัปดาห์ต่อครั้งเพื่อทำให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ ภายใน 1 ปี 6 เดือนไม่สามารถทำได้ทุกเรื่อง อย่างเรื่องการต่อต้านการทุจริต ขณะนี้ สนช.ก็กำลังพิจาณาร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. ...
นายสุวพันธุ์กล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุมได้พิจารณาแก้ไขกฎหมาย 126 ฉบับ ซึ่งได้นำมาพิจารณาในขั้นต้นถึงความเห็นของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และส่วนราชการเป็นอย่างไร โดยให้คณะกรรมการนำกลับไปศึกษา เนื่องจากมีบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งหน่วยราชการ
นายสุวพันธุ์กล่าวถึงการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการจำเป็นต้องมีการปฏิรูปด้วยเพื่อให้เกิดความโปร่งใสหรือไม่ว่า ในฐานะที่ตนเป็นคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของทางราชการ เห็นว่ากฎหมายดังกล่าวใช้มาหลายปี อาจจะต้องไปดูในรายละเอียดบ้าง แต่ถามว่ากฎหมายโปร่งใสหรือไม่ ก็คิดว่าโปร่งใสพอสมควรเพราะมีระเบียบของคณะกรรมการที่กำกับไว้ เช่น ส่วนราชการต้องเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น เพื่อให้กฎหมายโปร่งใสและเป็นธรรม ส่วนที่มีการเสนอกฎหมายการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ ต้องนำมาศึกษาเปรียบเทียบ เพราะมีการรวมข้อมูลของภาคเอกชนไปด้วยถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องรับฟังความเห็นก่อนจะไปออกกฎหมายเลยไม่ได้
นายสุวพันธุ์กล่าวอีกว่า การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของทางราชการ สิ่งใดที่ประชาชนต้องการก็จะให้ในบางเรื่อง เช่น เรื่องความมั่นคงให้ไม่ได้ก็ต้องให้เหตุผลชี้แจง ประชาชนก็มีสิทธิอุทธรณ์ได้ซึ่งเป็นการถ่วงดุลกันอยู่ และยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ที่ทางราชการจะปฏิเสธที่จะไม่ให้ข้อมูล ยกเว้นบางหน่วยเช่นสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ส่วนที่มีสื่อมวลชนขอข้อมูลเรื่องการดำเนินโครงการอุทยานราชภักดิ์ แล้วไม่ได้รับการตอบรับนั้นตนไม่ทราบ เพราะเรื่องมาไม่ถึงตน
นายสุวพันธุ์กล่าวอีกว่า สำหรับแผนปฏิรูปองค์กรตำรวจ ระบบการสืบสวนหรือสอบสวนจะแยกออกจากกันหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องหลัก เพราะหัวใจสำคัญคือทำให้ระบบการสืบสวนสอบสวนเป็นประโยชน์ให้ความเป็นธรรมกับประชาชนได้ ตอนนี้ขอให้เข้าใจว่าเรามีแผนที่จะทำ ส่วนรายละเอียดจะตกผลึกอย่างไรต้องพูดคุยอีกครั้งในวาระการปฏิรูป โดยสิ่งที่จะเกิดต่อไปจากนี้คือ การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการเพื่อให้เกิดการปฏิรูปให้ออกมาเป็นแนวทางนำไปปฏิบัติได้ จึงเรียกว่าเป็นผลสัมฤทธิ์
นายสุวพันธุ์กล่าวถึงกรณีการให้สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จัดทำรายงานและตอบข้อสงสัยกรณีของรัฐบาลเกี่ยวกับมติการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ว่า ขณะนี้มติยังอยู่ในขั้นตอนของตน และคงต้องใช้เวลาพิจารณาสักระยะ ก่อนหน้านี้ได้ให้ผู้อำนวยสำนักพุทธฯ จัดทำรายงานส่งมาให้ตน แต่ขณะนี้ยังไม่ส่งมา ทั้งนี้ตนได้ตั้งคำถามกลับไปหลายเรื่อง อย่างไรก็ตามไม่ได้กำหนดระยะเวลาว่าต้องส่งรายงานมาให้เมื่อใด แต่ให้เร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด
“ผมยึดหลักการว่าต้องไม่ถ่วงเวลา และไม่ดึงเวลา เอาตามข้อเท็จจริงและประเด็นที่เกิดขึ้น ดังนั้นขอให้ใจเย็นๆ”
นายสุวพันธุ์ยังกล่าวถึงกรณีพระอาจารย์วินัย ฐิตปัญโญ วัดบัวขวัญพระอารามหลวง จ.นนทบุรี ทำพิธีจารอักขระบนตุ๊กตาลูกเทพว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ในฐานะที่ผมเป็นชาวพุทธ โดยความเห็นส่วนตัวผมเคารพและยึดมั่นในคำส่งของพระพุทธเจ้า คือ ทำความดี ไม่ทำความชั่ว ทำจิตใจให้แจ่มใส ผมยึดแค่นี้ คนอื่นจะยึดอะไรผมไม่รู้ ก็แล้วแต่เขา” เมื่อถามย้ำว่าจะให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เข้าไปตักเตือนหรือไม่ นายสุวพันธุ์กล่าวสั้นๆ ว่า “ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เขากำลังทำอยู่”