รองนายกฯ เผยประชุมลับ มส.5 ม.ค. เสนอ “สมเด็จช่วง” เป็นพระสังฆราช ถ้ามติรับรองถูกต้องเรื่องก็จบ ปัดตอบแก้ปัญหาใช้วิธีรักษาการดีหรือไม่ ไม่มองเป็นเผือกร้อน ยังมึน ถ้าไม่ชอบสมเด็จวัดปากน้ำ จะตั้งใครให้ถูก กม. แจงประเมิน ขรก.แบบ 360 องศา ปชช.มีส่วนร่วม หากนายบอกดี แต่ ปชช.ว่าแย่ถือมีน้ำหนัก แย้มบทลงโทษ อดโบนัส-งดเลื่อนขั้น เชื่อแก้เกียร์ว่างดีกว่าเดิมเพราะเกรงกลัว
วันนี้ (13 ม.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีมหาเถรสมาคม (มส.) ประชุมลับเมื่อวันที่ 5 ม.ค. พร้อมมีมติเสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จช่วง) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ว่า ประชุมทุกครั้งก็ลับทั้งนั้น ลับหรือไม่ลับจึงไม่มีความแตกต่าง ปัญหาคือวาระที่ประชุมบอกให้คนรู้ก่อนหรือไม่ สมมติถ้าทำไปแล้วจริงอาจจะตื่นเต้นเพราะไม่คาดว่าจะเกิด อย่างนั้นอีกเรื่อง แต่ทำไมเขาต้องไปบอกใคร เพราะอย่างน้อยก็ต้องบอกกันเองไม่เช่นนั้นกรรรมการ มส.จะมาประชุมได้หรือ ส่วนจะครบองค์ประชุมหรือไม่ตนไม่ทราบ และหากมีมติใดออกมาก็สามารถเสนอมายังรัฐบาลได้ ถ้าการประชุมมีมติรับรองถูกต้องมันก็จบ จะมีอะไรไปหักไปโค่นว่าไม่ถูก
นายวิษณุกล่าวว่า ตามขั้นตอนหากรัฐบาลได้รับรายชื่อมาจะต้องตรวจสอบว่ากระบวนในการพิจารณาเสนอชื่อมาทำถูกหรือไม่ รัฐบาลต้องรับผิดชอบ แต่ไม่มีหน้าที่ไปดูความประพฤติหรือความเหมาะสม เพราะเรื่องนี้ไม่มีอำนาจ แต่ถ้ามีคำถามใดมาก็ตาม รัฐบาลต้องตอบได้ว่าทำไมถึงทำเช่นนั้น แต่ขณะนี้ยัง อย่าไปเตรียมตอบเพราะไม่รู้จะเจอคำถามอะไร ส่วนการตั้งรักษาการไปก่อนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดหรือไม่นั้นตนไม่ขอตอบ ตอบแบบนั้นมันอคติ ส่วนที่นายกฯ พูดนั้นพูดด้วยความเห็นกลางว่าถ้ายังทะเลาะขัดแย้งกันอยู่ รัฐบาลจะไม่นำสิ่งซึ่งเป็นความขัดแย้งขึ้นไปกราบบังคมทูล เพราะถ้าฝ่าฟันทุกอย่างแล้วกราบบังคมทูลฯ ขึ้นไป คนที่ขัดแย้งตามไปคัดค้าน สำนักราชเลขาธิการก็ต้องส่งกลับมาอยู่ดีว่าจะเอาอย่างไรกันแน่
“วันนี้รัฐบาลยังไม่ได้รับเรื่อง แต่ถึงได้รับมาถามว่าจะเก็บไว้หรือไม่ คงไม่ใช่เรื่องต้องมาไล่ถามรายวัน ต่อไปเมื่อได้รับเรื่องแล้วอาจไม่สามารถพูดอะไรได้ด้วยซ้ำ เพราะรัฐบาลต้องระวังเรื่องนี้มากกว่าเรื่องอื่นเยอะ ถ้ากรณีนี้เป็นแบบอย่าง ผมกลัวอย่างอื่นที่สำคัญกว่านี้ต่อไปอีก ถ้าทุกอย่างเป็นขี้ปากได้” นายวิษณุกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลหรือไม่ถ้าเรื่องมาถึงรัฐบาล สุดท้ายจะอยู่ในสถานะถูกบีบให้ต้องเลือก นายวิษณุกล่าวว่า ไม่กลัว คิดว่ามีทางออก อะไรที่เป็นหน้าที่รัฐบาลก็ต้องทำหน้าที่นั้น ซึ่งเกิดจากกฎหมาย ประเพณี และความคาดหมายของประชาชน ประกอบขึ้นเป็นหน้าที่ และต้องแจ้งคณะสงฆ์ทราบว่ารัฐบาลจะทำอะไรอย่างไร ส่วนที่หลายคนมองว่าเป็นเผือกร้อนของรัฐบาล แต่ตนถือเป็นปรากฏการณ์ธรรมดา
“เรื่องนี้พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชตามที่นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายโดยความเห็นชอบของ มส. ซึ่งจะต้องเสนอเห็นชอบสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นสมเด็จช่วง วัดปากน้ำ แล้วจะมาพูดเป็นอย่างอื่นให้มันยุ่งทำไม วันนี้เราบอกสมเด็จวัดปากน้ำท่านอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ถ้าไม่ตั้งสมเด็จวัดปากน้ำแล้วจะตั้งใคร ไม่ชอบสมเด็จวัดปากน้ำไม่ว่า แต่ถ้าไม่ตั้งแล้วไปตั้งใคร หมายถึงจะตั้งโดยให้ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งกำหนดว่าเป็นสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้” นายวิษณุกล่าว
รองนายกฯ กล่าวด้วยว่า หลายครั้งที่ตั้งสมเด็จพระสังฆราชในอดีต มีปัญหาเกือบทุกครั้ง เมื่อมีปัญหาถ้าตั้งได้ก็จบ ชอบไม่ชอบ นับถือไม่นับถือก็อยู่ในใจ ครั้งนี้ไม่ได้มีการแย่งชิง ที่มีปัญหาคือ ลูกศิษย์ที่อยากให้อาจารย์ตัวเองได้เป็น จึงควรปล่อยให้เป็นไปโดยธรรมชาติ อย่าให้มันผิดธรรมชาติ
นายวิษณุยังกล่าวถึงมาตรการกระตุ้นข้าราชการเกียร์ว่างที่จะใช้เกณฑ์การประเมินแบบใหม่ที่จะเริ่มในวันที่ 1 เม.ย. ว่าเป็นการประเมินโดยเราเป็นเหมือนครูออกข้อสอบไม่ใช่หน่วยงานที่ถูกประเมินเป็นผู้ออกข้อสอบเอง การประเมินยึดหลัก 3 ข้อ คือ 1. ประเมินจากภาระหน้าที่ปกติ 2. ประเมินตามยุทธศาสตร์หรือภารกิจพิเศษ เพราะผู้บริหารแต่ละคนมีภารกิจพิเศษแตกต่างกัน เช่น การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง เรื่องของการแก้ไขปัญหาการบินระหว่างประเทศ ประมงผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ 3. ประเมินจากพื้นที่ เพราะในบางพื้นที่นั้นมีภารกิจพิเศษ ขณะที่บางพื้นที่นั้นไม่มี เช่น ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำชับประชาชนเกี่ยวกับการปล่อยโคมลอยในเทศกาลลอยกระทง ทั้งนี้ การประเมินจะทำแบบ 360 องศา คือ ให้ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ประชาชน เป็นผู้ประเมิน โดยเริ่มใช้หลักนี้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 59 เป็นต้นไป และจะรู้ผลว่าการเมินนั้นเป็นคุณหรือโทษในวันที่ 1 ต.ค. 59 ซึ่งเป็นคุณหมายถึงการเลื่อนขั้น การเพิ่มงบประมาณ การให้โบนัส เป็นโทษหมายถึงการลดงบประมาณ งดโบนัส มีการแต่งตั้งโยกย้าย สับเปลี่ยนตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ยังต้องมีการออกแบบแบบฟอร์มเกี่ยวกับการประเมินอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีการทำงานไม่เข้าเป้าอย่างรุนแรงและมีความผิดรุนแรง จำเป็นต้องรอถึงเดือนต.ค.หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ถ้ารุนแรงก็ต้องจัดการเพราะจะเกิดความเสียหาย แต่เชื่อว่าโดยทั่วไปคงจะมีการให้โอกาสหากสามารถอธิบายเหตุผลได้ การทำงานของข้าราชการที่ผ่านมาถูกเรียกว่าทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม เรามีวิธีการจัดการคือ ทำให้ต้องมีการปรับตัว ซึ่งการประเมินนี้จะเป็นตัวช่วยและการควบคุมกับผู้บังคับบัญชา ก็จะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีความกระฉับกระเฉงมากขึ้น ที่ง่ายๆ คือ เครื่องเอกซเรย์มีหลายเครื่อง พลาดจากเครื่องนี้ยังมีเครื่องอื่นคอยดูแล อย่าลืมว่าประชาชนก็มีส่วนในการประเมินด้วย หากคะแนนจากนายให้มาดี แต่ประชาชนบอกว่าไม่ได้เรื่อง คะแนนประชาชนก็จะมีน้ำหนัก
รองนายกฯ กล่าวว่า เราต้องการคือ 1. ให้ข้าราชการกระฉับกระเฉง ว่องไว ไม่เข้าเกียร์ว่าง 2. เพื่อขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล 3. เป็นส่วนหนึ่งในการปฏิรูประบบราชการเพื่อที่จะบริการประชาชนได้อย่างเต็มที่ คงไม่ถึงกับที่จะแข่งกับเอกชน แต่ต้องการให้เขาแข่งกันเองในหมู่ข้าราชการก่อน และเมื่อไปถึงจุดหนึ่งก็จะสามารถแข่งกับเอกชน ขณะนี้เหมือนกับกระต่ายแข่งกับเต่า เราคงไม่เอาเต่าไปแข่งกับกระต่ายให้เต่ากับเต่าแข่งกันเองก่อน ก็พอไปได้แล้ว จากนั้นค่อยคัดเต่าที่ดีที่สุดไปแข่งกับกระต่าย เราจึงได้เอาเอกชนเข้ามาช่วยด้วย การประเมินครั้งนี้เน้นเฉพาะฝ่ายบริหาร ส่วนระดับล่างก็ให้ผู้บังคับบัญชาใช้หลักเกณฑ์เดียวกันนี้ในการประเมินผู้ใต้บังคับบัญชา หากผู้บังคับบัญชาคุมลูกน้องไม่ได้นั้นถือว่าบกพร่อง
“ข้าราชการเกียร์ว่างเป็นปัญหาของระบบราชการไทยมาทุกยุค ทุกสมัย ผมอยู่กับระบบนี้มานาน เห็นมานาน เมื่อมีเกณฑ์ประเมินแบบใหม่จึงต้องประเมินกันหลายปีถึงจะแก้ได้หมด ลองคิดจากการที่ไม่มีการประเมิน คนไม่กลัวอะไรเลย พอประเมินมันก็ต้องกลัว มันก็ต้องดีขึ้นจากเดิมแน่ อย่างไรก็ตาม บรรดาข้าราชการที่ใกล้เกษียณยิ่งไม่ต้องกลัวใครจะทำอะไรเขา หรือพวกที่ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ คงนึกว่าไม่มีใครกล้าไปย้ายเขา แต่เราจะอาศัยถ้าเล่นงานคุณไม่ได้ เล่นงานหน่วยงานคุณได้ เช่น ตัดงบประมาณ” นายวิษณุกล่าว