ป้อมพระสุเมรุ
ดิ้นกันเป็น“ลิง”รับ“ปีวอก”กันเลย สำหรับ“หนูปู”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับบรรดาลิ่วล้อ หลังออกมาร้องแรกแหกกระเชอกันโครมครามเสียงดัง โดยเฉพาะคิวแจกปฏิทินรูป“ปู-แม้ว”ยั่วประสาท และปฏิบัติการเดินสายให้เกิดประเด็นเพื่อเรียกร้องความสนใจ
ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์กันไว้ว่า ปีนี้เผาจริง “ยิ่งลักษณ์”จะสู้แบบตาเหลือก เนื่องจากหลังชนฝา คดีรับจำนำข้าวจะได้บทสรุปกันในปี 2559 นี้ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของคดีแพ่ง หรือคดีอาญา ในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นาทีนี้ไม่มีอะไรจะเสีย เพราะหากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลอง จุดจบของ“ยิ่งลักษณ์”ในเมืองไทยคือ “ซังเต”หรือสถานะ “บุคคลล้มละลาย”หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง แต่เธอเลือกเจริญรอยตามพี่ชายสุดที่รัก “เหลี่ยมดูไบ”ทักษิณ ชินวัตร ที่เผ่นแนบไปถือสัญชาติมอนเตเนโกร ซึ่งตัวเลือกหลังมีความเป็นไปได้มากที่สุด
เพราะ “ยิ่งลักษณ์”ไม่ใช่ “อองซาน ซูจี”ที่จะยอมติดคุกเพื่อแลกประชาธิปไตย
หากไม่ต้องการตกอยู่ในสภาวะแบบนั้น ทางเดียวที่จะรอดได้นั่นคือ ต้องล้มรัฐบาลลายพรางของ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ร่วง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง-อำนาจสลับขั้ว
หรืออย่างน้อยที่สุดทำให้ “รัฐบาลบิ๊กตู่”อยู่ในสถานการณ์คับขันที่สุด เพื่อบีบให้เข้าสู่โต๊ะเจรจา นำไปสู่การต่อรอง และการเกี้ยเซียะกัน ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลปิดประตูบานนี้สนิท เพราะยังกุมสถานการณ์ในประเทศได้
แน่นอนหากสู้กันตาต่อตา-ฟันต่อฟัน “ยิ่งลักษณ์”ไม่มีทางสู้“คสช.”ที่มีทั้งอำนาจ กำลังทหาร กฎหมาย อยู่ในมือได้เลย
สิ่งเดียวที่ “ยิ่งลักษณ์”มีเหนือกว่า “บิ๊กตู่”คือ ฐานมวลชนที่ยังเหนียวแน่น ยังไม่ปันใจไปให้อีกฟากฝั่ง ดังนั้นจึงต้องใช้ประโยชน์จากตรงนี้
ถ้าดูการต่อสู้ของ“ทักษิณ” ทุกยุคทุกสมัย ก็ใช้วิธีการนำมวลชนมาเป็น“กันชน”หรือ “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก”ให้อยู่เสมอ เข้าตาจนเมื่อไรก็จะบอกว่าประชาชน 19 ล้านเสียงเลือกเข้ามา และครั้งนี้ “ยิ่งลักษณ์”ก็คงเลือกทางนี้เช่นเดียวกัน เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่สามารถเขย่ารัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารได้
แต่ก็ใช่ว่า“หนูปู”จะสามารถปลุกมวลชนให้ออกมาง่ายๆ เหมือนปี 2553 ที่มีแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เดินเกมให้ เพราะตอนนั้นอารมณ์ของมวลชนนั้นถูกปลุก และบ่มเพาะมาสักระยะหนึ่ง ทั้งการโฆษณาชวนเชื่อว่า “ทักษิณ”ถูกรังแกในคดีทุจริต และการอุ้ม“เดอะมาร์ค”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
แต่สถานการณ์ขณะนี้นอกจากการถูกรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 “ยิ่งลักษณ์”ยังไม่โดนอะไรเป็นกิจลักษณะเลย นอกจากการดำเนินคดีที่ยังไม่สิ้นสุด และการห้ามจัดกิจกรรมทางการเมืองที่คนอื่นก็ถูกห้ามเช่นเดียวกัน
เงื่อนไขการปลุกของ“ยิ่งลักษณ์”นั้นจึงยังไม่สุกงอมพอที่จะสร้างคะแนนสงสารให้ประชาชนออกมาปกป้องตัวเองได้
แต่ในอนาคตก็ไม่แน่เช่นกันว่าจะ“จุดติด”เพราะหากดูการเคลื่อนไหวของ“ยิ่งลักษณ์”และองคาพยพในช่วงที่ผ่านมาก็มีความพยายามตั้งใจสร้างประเด็นให้“ยิ่งลักษณ์”ดูเป็นผู้ถูกกระทำอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการจงใจเดินสายไปทำบุญยังสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ให้เป็นจุดสนใจ แล้วตีปี๊บภาพนายทหารเดินประกบแจทุกฝีก้าว เสมือนหนึ่งขาดสิทธิ เสรีภาพ แม้กระทั่งเรื่องทำบุญ
การขอเดินทางออกนอกประเทศไปพักผ่อน หรือการ“สมรู้ร่วมคิด”ล๊อบบี้ให้สมาชิกรัฐสภายุโรป ร่อนหนังสือเชิญไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ประเทศเบลเยี่ยม ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า ไม่มีทางได้ เพื่อให้เห็นว่า เธอไม่มีอิสระในการไปไหนมาไหน จนดูเหมือนทหารกลั่นแกล้ง
ไม่เว้นแม้กระทั่งการแจกปฏิทิน“ปู-แม้ว”เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ก็เหมือนจงใจทำเพื่อให้ทหารเข้ายึด จนเกิดประเด็นในสังคมว่า แค่ปฏิทินธรรมดา คสช. ยังกลัว จนกลายเป็นเรื่องโจ๊กค่อนแคะฝ่ายอำนาจกันไปแล้ว
ทุกอย่างไม่ใช่ความบังเอิญที่เกิดขึ้น หากแต่มันเหมือนมีความคนจงใจให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้น เพื่อให้“ยิ่งลักษณ์”ยังคงอยู่ในกระแสและเป็นผู้ถูกกระทำทุกครั้ง เพื่อสั่งสม“ความสงสาร”
จะว่าไปการเดินเรื่องของ“ยิ่งลักษณ์”แทบจะลอกของพี่ชายแทบทุกกระเบียดนิ้ว รวมถึงการพยายามตีฆ้องร้องป่าวว่า ตัวเองถูกรังแกโดนกระบวนการยุติธรรม เพื่อหวังให้ประขาชนออกมาฟอกความผิดให้ อย่างเรื่องคดีรับจำนำข้าว ในส่วนของการเรียกค่าความเสียหาย ที่ในช่วงแรกป่าวประกาศว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ของกระทรวงการคลัง รวบรัดโดยที่ตัวเองยังไม่ได้ให้ข้อมูลเพียงพอ จนรัฐบาลต้องไฟเขียวให้ขยายเวลา เพื่อหยุดประเด็นไม่ให้เข้าทางอีกฝั่ง
ช่วงนั้น “ยิ่งลักษณ์”ขอพยานแบบกระจุยกระจาย “เยอะเข้าว่า สาระไม่ต้อง”จนมีพยานจำเลยยาวเป็นหางว่าวที่ว่า ต้องสอบกัน 2 - 3 เดือน กระทั่งสอบพยานไปจนครบตามที่เธอร้องขอ แต่พอใกล้ๆ จะสอบพยานปากท้ายๆเสร็จ กลับมีการยื่นให้สอบพยานเพิ่มอีกหนึ่งล็อต จำนวน 18 คน จนเกิดคำถามว่า ทำไมจึงไม่ยื่นมาตั้งแต่แรก
ที่สุดคณะกรรมการฯ ตัดสินใจปฏิเสธคำขอนั้น และให้ส่งมาเป็นลายลักษณ์แทนภายในสิ้นเดือนมกราคม 2559 เพราะรู้ว่า นี่เป็นเพียงกระบวนการยื้อ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ตามขั้นตอน คณะกรรมการฯน่าจะใช้เวลาสรุปไม่เกิน 1 เดือน แล้วสามารถรายงานให้ “บิ๊กตู่”พิจารณาก่อนจะส่งไปให้คณะกรรมการรับผิดทางแพ่งที่มีอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธาน ตรวจสอบอีกรอบเพื่อออกคำสั่ง“ยึดทรัพย์”แบบให้เวลาเหลือๆ เรื่องการดำเนินเรียกค่าเสียหายน่าจะรู้เรื่องก่อน“สงกรานต์”
แต่ขณะเดียวกัน ก็มีข้อสังเกตเหมือนกันว่า การที่ “ยิ่งลักษณ์”ยื่นเพิ่มเที่ยวนี้ย่อมรู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่า ยากที่จะได้ แต่จงใจยื่นให้ถูกปฏิเสธ เพื่อทำให้เกิดประเด็นว่า รัฐบาลพยายามรวบรัด จนเธอไม่ได้รับความเป็นยุติธรรม เพื่อเป็นการดิสเครดิตการดำเนินการเรียกค่าเสียหายครั้งนี้ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ “ทักษิณ”เคยใช้อัดใส่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) มาแล้ว
“ยิ่งลักษณ์”ถูกพี่ชายวางหมากให้เดินแล้วว่าจะต้องเดินทางนี้ หากจะสร้างเงื่อนไขเพื่อปลุกระดมมวลชนให้ออกมาปกป้องได้ แต่เชื้อก็คงจะไม่ติดง่ายๆ เพราะยุคนี้กับยุคนั้น แตกต่างกันหลายอย่าง ซึ่งสิ่งที่“ยิ่งลักษณ์”ต้องพึ่งอีกอย่างที่จะทำให้ติดไฟ คือ ต้องอาศัยช่วงที่รัฐบาลอ่อนแอ ที่ปีนี้มีปัจจัยมากมาย ทำให้รัฐบาลเดินไปถึงจุดนั้นได้ ทั้งเรื่องภัยแล้ง ที่เกษตรกรซึ่งส่วนใหญ่เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยอาจอดรนทนไม่ได้ที่ไม่มีน้ำใช้ในการทำเกษตรกรรม จนออกมาประท้วง เปิดรูให้มีช่องผสมโรง
ปัญหาการทุจริตที่มีคนในรัฐบาลไปเกี่ยวข้อง ตลอดจนยุทธการโลกล้อมประเทศ ผ่านกระบวนการกดดันต่างๆ ทำให้ไทยมีข้อจำกัด เอาเป็นว่า ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นไป “ยิ่งลักษณ์”จะเร้ากระแสหนักขึ้นเรื่อยๆ ให้มีประเด็นอยู่แทบจะทุกวัน .