บริษัทเหล้าและบุหรี่ ตกเป็นจำเลย อีกครั้งหนึ่ง เหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมา ด้วยข้อกล่าวหาาว่า อยู่เบิ้องหลังขบวนการจ้องทำลาย สสส. หรือ สำนักงานกองทุนสนับสุนการสร้างเสริมสุขภาพ ภายหลัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามในคำสั่งฉบับแรก รับศักราชใหม่ คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาาความสงบแห่งชาติ ที่ 1 / 2559 ปลดกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สสส พ้นจากตำแหน่ง
นพ.วิชัย โชควิวัฒน์ อดีต รองประธาน สสส. คนที่ 2 ซึ่งเป็น 1 ใน 7 กรรมการ สสส. ที่ถูกปลด ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า โดยส่วนตัวเชื่อว่า มีกระบวนการล้มล้าง สสส. เพราะชนวนเหตุเกิดขึ้นตั้งแต่ การร่าง พ.ร.บ.เหล้า และบุหรี่ ทั้งที่โครงการ สสส. หลายอย่าง ที่ผ่านมาเกิดผลลัพธ์ที่ดี มีข้อมูลชัดเจน ขบวนการนี้มีบริษัทเหล้า บุหรี่ต่างชาติอยู่เบื้องหลังเพราะมองว่ากองทุนสสส.เป็นศัตรูที่จะขัดผลประโยชน์ อนาคตของ สสส. หลังจากนี้ ก็ต้องดูว่าอำนาจรัฐที่จะดูแลให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างบริษัทบุหรี่ เหล้า กับผลประโยชน์ของประชาชนว่าจะเอนเอียงไปในทิศทางใด
ในขณะที่ องค์กรพัฒนาเอกชนบางราย ที่เป็นภาคีสมาชิก สสส. คือ รับเงินจาก สส. ในการทำงาน ก็ฟันธงทันทีว่า การใช้มาตรา 44 ปลดกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน คือ จุดจบของ สสส. ต่อไปนี้ การผลักดันกฎหมาย มาตรการ โครงการที่กระทบกับกลุ่ม ทุน เหล้า บุหรี่ อาหาร หรือแพทย์พาณิชย์จะทำไม่ได้ เพราะ สสส. จะกลายเป็นหน่วยงานในกำกับราชการและกลุ่มทุนที่อยุ่ในศูนย์กลางอำนาจรัฐโดยสมบูรณ์
การให้ข้อมูลแบบ เอาดีใส่ตัว ปกปิดข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องสำคัญ แบบนี้แหละ ที่เป็นแบบบับของ สสส. และองค์กร ตระกูล ส. เกือบทุกแห่ง
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สสส มีทั้งสิ้น 8 คน ถูก คำสั่ง คสช ปลด 7 คน เหลือคนเดียวที่ไม่โดนปลดคือ นางทิชา ณ นคร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา
ถ้าเป็นอย่างที่ หมอวิชัยบอกว่า บรัษัทเหล้าและบุหรี่ต้องการทำลาย สสส. ก็แสดงว่า นางทิชา เป็นข้อยกเว้น ไม่ใช่เป้าหมายของบริษัทเหล้าและบุหรี่อย่างนั้นหรือ
กรรมการอีก 6 คน ที่โดนปลด นอกจากหมอวิชัยคือ คือ นายสงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสร้างเสริมสุขภาพ นายเอ็นนู ซิ่อสุวรรณ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านพัฒนาชุมชน รศ ประภาภัทร นิยม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านศิลปวัฒนธรรม นพ. ยงยุทธ วงศภิรมย์ศานติ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสื่อสารมวลชน นายสมพร ใช้บางยาง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านก๊ฬา และนายวิเชียร พงศธร
ในขณะเดียวกัน กรรมการทั้ง 6 คน และหมอวิชัย ก็เป็นกรรมการมูลนิธิ องค์กร ที่รับเงินสนับสนุนจาก สสส. ด้วย
รายงานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ หรือ คตร . ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2550-2557 มีกรรมการหรือผุ้ทรงคุณวุฒิ ของ สสส. ซึ่งมีบทบาทหน้าที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิหรือองค์กรที่ได้รับเงินอุดหนุนจาก สสส. ตั้งแต่ปี 2550-2557 รวมจำนวน 33 แห่ง 139 โครงการ วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3 พันล้านบาท
กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 7 คน ล้วนเป็นกรรมการของมูลนิธิหรือองค์กรที่รับเงินอุดหนุนโครงการจาก สสส. เช่น รศ. ประภาภัทร เป็นกรรมการมุลนิธิอาศรมศิลป์ มีโครงการที่รับเงินอุดหนุนจาก สสส 11 โครงการ จำนวนเงินรวม 98 ล้านบาท
นพ. ยงยุทธ เป็นกรรมการมุลนิธิองค์กรการกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย มีโครงการที่รับเงินอุดหนุน 3 โครงการ รวม 10 ล้านบาท มุลนิธิเพื่ออการพัฒนาเด็ก จำนวน 8 โครงการ 182 ล้านบาท
หมอวิชัย เป็นกรรมการหลายมูลนิธิ เช่น มูลนิธิ
สร้างสุขไทย จำนวน 3 โครงการ รับเงิน 65 ล้านบาท มูลนิธิมิตรภาพบำบัด จำนวน 1 โครงกการ 3 แสนบาท มูลนิธิแพทย์ชนบท จำนวน 5 โครงการ 58 ล้านบาท มุลนิธิโกมล คีมทอง 4 โครงการ 36 ล้านบาท มุลนิธิ 14 ตุลา 2 โครงการ 3.5 ล้านบาท
สำหรับ นางทิชา ซึ่งไม่โดนปลด เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพีบงรายเดียวที่ไม่มีชื่ออยู่ใยรายงาน คตร. ว่า เป็นกรรมการ มุลนิธิ หรือองค์กรที่ได้รับเงินอุดหนุนจาก สสส.
แม้ว่า ในพรบ. กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 จะไม่ได้ห้าม กรรมการมูลนิธิ องค์กรที่รับเงิน สส. เป็นกรรมการ สสส. อย่างที่ กรรมการ สส.บางคนชอบอ้าง แต่ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริยธรรม กฎหมายไม่ห้าม แต่เป็นเรื่องที่ กรรมการ สสส. น่าจะคิดได้แองว่า เหมาะสม ถูกต้องตามหลักบริหารที่ดี หรือไม่
การที่ พลเอกประยุทธ์ ใช้ มาตรา 44 ปลด กรรมการ สสส. ทั้ง 7 คน จึงเป็นเรื่องของ การไม่ให้มีปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ใช่เรื่อง ที่มีขบวนการทำลาย สสส. ที่มีบริษัทเหล้า บุหรี่อยู่เบื้องหลัง อย่างที่ กรรมการ และองค์กรภาคีสมาชิกบางรายพยายามให้สังคมเชื่อ
นพ.วิชัย โชควิวัฒน์ อดีต รองประธาน สสส. คนที่ 2 ซึ่งเป็น 1 ใน 7 กรรมการ สสส. ที่ถูกปลด ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า โดยส่วนตัวเชื่อว่า มีกระบวนการล้มล้าง สสส. เพราะชนวนเหตุเกิดขึ้นตั้งแต่ การร่าง พ.ร.บ.เหล้า และบุหรี่ ทั้งที่โครงการ สสส. หลายอย่าง ที่ผ่านมาเกิดผลลัพธ์ที่ดี มีข้อมูลชัดเจน ขบวนการนี้มีบริษัทเหล้า บุหรี่ต่างชาติอยู่เบื้องหลังเพราะมองว่ากองทุนสสส.เป็นศัตรูที่จะขัดผลประโยชน์ อนาคตของ สสส. หลังจากนี้ ก็ต้องดูว่าอำนาจรัฐที่จะดูแลให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างบริษัทบุหรี่ เหล้า กับผลประโยชน์ของประชาชนว่าจะเอนเอียงไปในทิศทางใด
ในขณะที่ องค์กรพัฒนาเอกชนบางราย ที่เป็นภาคีสมาชิก สสส. คือ รับเงินจาก สส. ในการทำงาน ก็ฟันธงทันทีว่า การใช้มาตรา 44 ปลดกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน คือ จุดจบของ สสส. ต่อไปนี้ การผลักดันกฎหมาย มาตรการ โครงการที่กระทบกับกลุ่ม ทุน เหล้า บุหรี่ อาหาร หรือแพทย์พาณิชย์จะทำไม่ได้ เพราะ สสส. จะกลายเป็นหน่วยงานในกำกับราชการและกลุ่มทุนที่อยุ่ในศูนย์กลางอำนาจรัฐโดยสมบูรณ์
การให้ข้อมูลแบบ เอาดีใส่ตัว ปกปิดข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องสำคัญ แบบนี้แหละ ที่เป็นแบบบับของ สสส. และองค์กร ตระกูล ส. เกือบทุกแห่ง
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สสส มีทั้งสิ้น 8 คน ถูก คำสั่ง คสช ปลด 7 คน เหลือคนเดียวที่ไม่โดนปลดคือ นางทิชา ณ นคร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา
ถ้าเป็นอย่างที่ หมอวิชัยบอกว่า บรัษัทเหล้าและบุหรี่ต้องการทำลาย สสส. ก็แสดงว่า นางทิชา เป็นข้อยกเว้น ไม่ใช่เป้าหมายของบริษัทเหล้าและบุหรี่อย่างนั้นหรือ
กรรมการอีก 6 คน ที่โดนปลด นอกจากหมอวิชัยคือ คือ นายสงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสร้างเสริมสุขภาพ นายเอ็นนู ซิ่อสุวรรณ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านพัฒนาชุมชน รศ ประภาภัทร นิยม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านศิลปวัฒนธรรม นพ. ยงยุทธ วงศภิรมย์ศานติ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสื่อสารมวลชน นายสมพร ใช้บางยาง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านก๊ฬา และนายวิเชียร พงศธร
ในขณะเดียวกัน กรรมการทั้ง 6 คน และหมอวิชัย ก็เป็นกรรมการมูลนิธิ องค์กร ที่รับเงินสนับสนุนจาก สสส. ด้วย
รายงานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ หรือ คตร . ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2550-2557 มีกรรมการหรือผุ้ทรงคุณวุฒิ ของ สสส. ซึ่งมีบทบาทหน้าที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิหรือองค์กรที่ได้รับเงินอุดหนุนจาก สสส. ตั้งแต่ปี 2550-2557 รวมจำนวน 33 แห่ง 139 โครงการ วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3 พันล้านบาท
กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 7 คน ล้วนเป็นกรรมการของมูลนิธิหรือองค์กรที่รับเงินอุดหนุนโครงการจาก สสส. เช่น รศ. ประภาภัทร เป็นกรรมการมุลนิธิอาศรมศิลป์ มีโครงการที่รับเงินอุดหนุนจาก สสส 11 โครงการ จำนวนเงินรวม 98 ล้านบาท
นพ. ยงยุทธ เป็นกรรมการมุลนิธิองค์กรการกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย มีโครงการที่รับเงินอุดหนุน 3 โครงการ รวม 10 ล้านบาท มุลนิธิเพื่ออการพัฒนาเด็ก จำนวน 8 โครงการ 182 ล้านบาท
หมอวิชัย เป็นกรรมการหลายมูลนิธิ เช่น มูลนิธิ
สร้างสุขไทย จำนวน 3 โครงการ รับเงิน 65 ล้านบาท มูลนิธิมิตรภาพบำบัด จำนวน 1 โครงกการ 3 แสนบาท มูลนิธิแพทย์ชนบท จำนวน 5 โครงการ 58 ล้านบาท มุลนิธิโกมล คีมทอง 4 โครงการ 36 ล้านบาท มุลนิธิ 14 ตุลา 2 โครงการ 3.5 ล้านบาท
สำหรับ นางทิชา ซึ่งไม่โดนปลด เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพีบงรายเดียวที่ไม่มีชื่ออยู่ใยรายงาน คตร. ว่า เป็นกรรมการ มุลนิธิ หรือองค์กรที่ได้รับเงินอุดหนุนจาก สสส.
แม้ว่า ในพรบ. กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 จะไม่ได้ห้าม กรรมการมูลนิธิ องค์กรที่รับเงิน สส. เป็นกรรมการ สสส. อย่างที่ กรรมการ สส.บางคนชอบอ้าง แต่ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริยธรรม กฎหมายไม่ห้าม แต่เป็นเรื่องที่ กรรมการ สสส. น่าจะคิดได้แองว่า เหมาะสม ถูกต้องตามหลักบริหารที่ดี หรือไม่
การที่ พลเอกประยุทธ์ ใช้ มาตรา 44 ปลด กรรมการ สสส. ทั้ง 7 คน จึงเป็นเรื่องของ การไม่ให้มีปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ใช่เรื่อง ที่มีขบวนการทำลาย สสส. ที่มีบริษัทเหล้า บุหรี่อยู่เบื้องหลัง อย่างที่ กรรมการ และองค์กรภาคีสมาชิกบางรายพยายามให้สังคมเชื่อ