xs
xsm
sm
md
lg

“สรรพากร” แจง 20 คำตอบ “ผู้ประกอบการ” ต้องรู้ ? พ.ร.ก.ไม่ตรวจเอาผิดภาษีย้อนหลัง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“สรรพากร” แจง 20 คำตอบ “ผู้ประกอบการนิติบุคคล” ต้องรู้ ? พ.ร.ก. ไม่ตรวจเอาผิดภาษีย้อนหลัง ย้ำ มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 59 เปิดทางลงทะเบียนภายใน 60 วัน พร้อมข้อสังสัย? รัฐยอมสูญหมื่นล้านดึงภาษีเข้าระบบ

วันนี้ (4 ม.ค.) มีรายงานว่า กลุ่มสารนิเทศการคลัง สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลัง มีหนังสือฉบับที่ 1/2559 เกี่ยวกับกรณีที่มีการประกาศ พ.ร.ก. การยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2558 และพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 595) พ.ศ. 2558 เผยแพร่ในเว็บไซต์ กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง โดยเป็นการตอบคำถามถึงข้อสงสัยของประชาชนและนิติบุคคล จำนวน 20 ข้อ มีใจความ ดังนี้

1.
Q : เหตุผลและความจำเป็นในการตราพระราชกำหนดยกเว้น และสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
A : เพื่อสะท้อนสภาพกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศ โดยรัฐบาลสามารถวิเคราะห์และวางแผนในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการได้ตรงต่อความต้องการ เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการผลิตและการค้า รวมถึงเป็นการสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการซึ่งส่วนใหญ่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

นอกจากนี้ การดำเนินการตามพระราชกำหนดในการจัดทำบัญชีและงบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ ยังสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการนำระบบ e-payment มาใช้ ซึ่งมีส่วนในการส่งเสริมให้การทำธุรกรรมและการบริหารเงินของผู้ประกอบการเป็นไปอย่างรวดเร็ว คล่องตัว และเกิดประสิทธิภาพ อันจะส่งผลสำเร็จต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม

2.
Q : ทำไมต้องเป็นพระราชกำหนด เพื่อยกเว้นการตรวจสอบ ไต่สวน ประเมิน หรือสั่งให้เสียภาษีอากร และความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากร
A : เนื่องจากการตราพระราชกำหนดฯ ดังกล่าวเป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากร ที่ต้องพิจารณาโดยด่วน และลับ ซึ่งหากมิได้ดำเนินการเป็นการเร่งด่วนแล้ว อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ

3.
Q : พระราชกำหนดนี้เป็นการนิรโทษกรรมทางภาษีหรือไม่
A : พระราชกำหนดนี้ไม่ใช่ การนิรโทษกรรมทางภาษี แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการยกเว้นการตรวจสอบ ไต่สวน ประเมิน หรือสั่งให้เสียภาษีอากร และความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากร สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่มาจดแจ้งต่อกรมสรรพากรในการจัดทำบัญชีและงบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการเพียงเล่มเดียว ส่วนบริษัทฯ ที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบภาษีอากร เป็นผู้ออกใบกำกับภาษีปลอม หลีกเลี่ยงภาษีอากร หรืออยู่ในระหว่างการถูกดำเนินคดี ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2559 กรมสรรพากรจะดำเนินการเฉพาะกรณีนั้น ๆ ต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ

4.
Q : บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใดได้รับประโยชน์จากพระราชกำหนด
A : บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิ และมีรายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาท ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ผ่านมาซึ่งมีระยะเวลาครบ 12 เดือน และมีวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดก่อนหรือในวันที่ 31 ธันวาคม 2558

5.
Q : ประโยชน์ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะได้จากพระราชกำหนด คืออะไร
A : จะได้รับยกเว้นจากการตรวจสอบ ไต่สวน ประเมิน หรือสั่งให้เสียภาษีอากร และความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากร สำหรับรายได้ที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีวันเริ่มต้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2559 หรือมูลค่าของฐานภาษี รายรับ หรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2559

6.
Q : ถ้าต้องการได้รับการยกเว้นตามพระราชกำหนด ต้องทำอย่างไร
A : ต้องมาจดแจ้งต่อกรมสรรพากร โดยยื่นคำขอจดแจ้งผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของกรมสรรพากรที่ http://www.rd.go.th ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2559

7.
Q : บริษัทฯ จะทราบได้อย่างไรว่าได้จดแจ้งเรียบร้อย หรือไม่
A : บริษัทฯ ที่ได้จดแจ้งต่อกรมสรรพากรภายในกำหนดเวลา จะได้รับข้อความแจ้งผ่านทางอีเมล์ที่บริษัทฯ ได้ให้ไว้กับกรมสรรพากรว่า ได้รับการจดแจ้งเรียบร้อยแล้ว

8.
Q : ภายหลังการจดแจ้งบริษัทฯ ต้องกระทำตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขอะไรบ้างเพื่อให้ได้การยกเว้น
A : บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล จะต้องจัดทำบัญชีและงบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป และจะต้องไม่กระทำการใดๆ ที่เป็นการหลีกเลี่ยงภาษีอากร รวมทั้งต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีให้ครบถ้วน ตามประเภทภาษีที่บริษัทฯ มีหน้าที่ในการยื่นแบบและชำระภาษี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป

9.
Q : กรณีที่บริษัทฯ ได้จดแจ้งแล้ว กรมสรรพากรจะยกเลิกการตรวจสอบในอดีตทั้งหมดใช่หรือไม่
A : กรณีที่บริษัทฯ ได้จดแจ้งแล้ว และอยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบภาษีอากร เป็นผู้ออกใบกำกับภาษีปลอม หลีกเลี่ยงภาษีอากร หรืออยู่ในระหว่างการถูกดำเนินคดี ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2559 กรมสรรพากรจะดำเนินการเฉพาะกรณีนั้น ๆ ต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ

10.
Q : ถ้าบริษัทฯ อยู่ระหว่างขอคืนภาษีอากรบริษัทฯ จะยังคงได้เงินภาษีที่ขอคืนไว้หรือไม่ อย่างไร
A : ถ้าบริษัทฯ อยู่ระหว่างขอคืนภาษีอากร เจ้าพนักงานประเมินจะยังคงสามารถดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนภาษีที่ขอคืนนั้นได้

11.
Q : หากบริษัทฯ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดจะถูกดำเนินการอย่างไร
A : กรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใด ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น จะถูกเพิกถอนจากการยกเว้นการตรวจสอบภาษีอากรย้อนหลัง และให้ถือว่าบริษัทฯ นั้นไม่เคยได้รับสิทธิใด ๆ ตามพระราชกำหนดฉบับนี้

12.
Q : บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ได้รับการยกเว้นตามพระราชกำหนดนี้ได้หรือไม่
A : SMEs ที่ได้จดแจ้งต่อกรมสรรพากรตามพระราชกำหนดนี้ได้รับยกเว้นจากการตรวจสอบ ไต่สวน ประเมิน หรือสั่งให้เสียภาษีอากร และความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากร

13.
Q : บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับการยกเว้นตามพระราชกำหนดต้องมีทุนจดทะเบียนเท่าไหร่
A : ไม่มีการจำกัดทุนจดทะเบียนสำหรับบริษัทฯ ที่จดแจ้งตามพระราชกำหนดนี้ แต่บริษัทฯ ต้องมีรายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาท ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ผ่านมาซึ่งมีระยะเวลาครบ 12 เดือน และมีวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดก่อนหรือในวันที่ 31 ธันวาคม 2558

14.
Q : หากบริษัทฯ ได้จดแจ้ง และมีรายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาท ตรงตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดในพระราชกำหนดฯ นี้ แต่ปรากฏว่าในปีต่อมาบริษัทฯ มีรายได้เกินกว่า 500 ล้านบาท บริษัทฯ จะยังคงได้รับการยกเว้นการตรวจสอบตามพระราชกำหนดฯ หรือไม่
A : บริษัทฯ จะยังคงได้รับการยกเว้นการตรวจสอบตามพระราชกำหนดฯ นี้

15.
Q : ทำไมถึงต้องให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินใช้บัญชีและงบการเงินที่ใช้ในการยื่นรายการภาษีเงินได้เป็นหลักฐานในการขอสินเชื่อ
A : เนื่องจากการจัดทำบัญชีและงบการเงินที่สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมการเงินให้กับกิจการเหล่านั้น ทำให้รัฐสามารถให้ความช่วยเหลือกับผู้ประกอบการ ได้ตรงจุดและตรงต่อความต้องการของผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการอีกด้วย

16.
Q : สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาฯ สำหรับนิติบุคคลประเภทใด
A : ต้องเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งจัดตั้งขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2559 และมีทุนชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท (บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลขนาดกลางและขนาดย่อม SME)

17.
Q : บริษัทฯ ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการได้สิทธิประโยชน์อย่างไรหรือไม่
A : บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลขนาดกลางและขนาดย่อมที่จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี จะต้องยื่นคำขอจดแจ้งผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของกรมสรรพากรที่ http://www.rd.go.th ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2559 ว่าเป็นผู้ประกอบการตามพระราชกำหนดการยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร และต้องไม่ถูกเพิกถอนการได้รับการยกเว้นตามพระราชกำหนดฯ

18.
Q : สิทธิประโยชน์ในการยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นอย่างไร
A : เป็นการยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับ SME ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2559 และปี 2560 ดังนี้
กำไรสุทธิ อัตราภาษี รอบระยะเวลาบัญชีปี 2559 รอบระยะเวลาบัญชีปี 2560 0-3 แสนบาท ยกเว้น ยกเว้น 3 แสนบาทขึ้นไป 10%

19.
Q : กรณีหากเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลขนาดกลางและขนาดย่อมอยู่แล้ว แต่ไม่ได้จดแจ้งเพื่อขอรับการยกเว้นตามพระราชกำหนดฯ ภายในกำหนดเวลา จะขอใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการยกเว้นและลดอัตราภาษีเพียงอย่างเดียว ได้หรือไม่
A : หากบริษัทฯ ไม่มีการจดแจ้งตามพระราชกำหนดฯ จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในการยกเว้นและลดอัตราภาษีตามพระราชกฤษฎีกาฯ

20.
Q : ถ้าบริษัทฯ ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ใด
A : หากต้องการทราบข้อมูลตามพระราชกำหนดฯ และพระราชกฤษฎีกาฯ เพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่ RD Call Center โทร. 1161 หรือที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทั่วประเทศ

ด้าน นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ไม่เอาผิดภาษีย้อนหลัง และ พระราชกฤษฎีกาลดอัตราภาษีนิติบุคคลผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2559 โดยผู้ประกอบการนิติบุคคลที่รายได้ปี 2558 ไม่เกิน 500 ล้านบาท ที่จะเข้าโครงการให้มาลงทะเบียนกับกรมสรรพากรตั้งแต่ 15 ม.ค. - 15 มี.ค. 2559 หรือมีเวลา 60 วัน พร้อมกับจดแจ้งการทำบัญชีเดียวกับกรมสรรพากร จะได้รับการยกเว้นจากการตรวจสอบภาษีย้อนหลังที่เกิดก่อนวันที่ 1 ม.ค. 2559 ทั้งหมด

นอกจากนี้ นิติบุคคลที่อยู่ระหว่างกรมสรรพากรตรวจสอบการเสียภาษี เป็นผู้ออกใบกำกับภาษีปลอม หลีกเลี่ยงภาษีอากร หรืออยู่ระหว่างการดำเนินคดีทางภาษี ก่อนวันที่ 1 ม.ค. 2559 ก็ยังสามารถมาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ โดยสรรพากรจะดำเนินการเฉพาะส่วนที่ตรวจสอบอยู่เดิมเท่านั้น จะไม่มีการตรวจสอบเพิ่มเติมจากที่ดำเนินการอยู่

“การออก พ.ร.ก. นี้ไม่ใช้เป็นการนิรโทษกรรมภาษี เพราะการนิรโทษต้องเข้ามาแสดงตัวว่าผิด และเสียภาษีที่ค้างอยู่ให้ครบ และจะไม่ถูกดำเนินคดี แต่ครั้งนี้ไม่ต้องจ่ายไม่ถูกเอาผิด เพราะกรมสรรพากรต้องการเดินไปข้างหน้ากับผู้เสียภาษี” นายประสงค์ กล่าว

ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีนิติบุคคลที่มีรายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาท คิดเป็น 98% ของนิติบุคคลที่อยู่ในระบบภาษี ในจำนวนนี้เป็นนิติบุคคลเอสเอ็มอีมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท รายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท อยู่ 81% หรือ ประมาณ 3.4 แสนราย ส่วนนิติบุคคลที่ไม่ใช่เอสเอ็มอีแต่รายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาท มีอยู่ประมาณ 8 หมื่นราย กรมสรรพากรคาดว่าจะมีนิติบุคคลมาเข้าร่วมโครงการไม่ตรวจสอบภาษีย้อนหลังประมาณ 30%

สำหรับนิติบุคคลที่เป็นเอสเอ็มอี ที่เข้าโครงการยังได้สิทธิพิเศษ กำไรในปี 2559 ไม่ต้องเสียภาษี และกำไรในปี 2560 จะเสียภาษีเพียง 10% ส่วนเอสเอ็มอีที่ไม่เข้าร่วมโครงการจะไม่ได้สิทธิพิเศษดังกล่าว

นายประสงค์ กล่าวว่า การไม่ตรวจสอบภาษีย้อนหลังและการลดภาษีเพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าโครงการ จะทำให้กรมสรรพากรสูญเสียรายได้ 1 หมื่นล้านบาท แต่กรมสรรพากรจะเก็บภาษีทางตรงและทางอ้อมได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้การเสียภาษีทางตรงมีโอกาสที่จะปรับลดลงไปได้อีก

นอกจากนี้ ในปี 2562 กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งอนุมัติสินเชื่อจากหลักฐานทางบัญชีของผู้ประกอบการต้องใช้งบการเงินแสดงรายได้ ที่เป็นบัญชีเดียวกันกับที่ยื่นกรมสรรพากร จะทำให้การเก็บภาษีของกรมมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม นิติบุคคลที่เข้าร่วมโครงการ หากมีการกระทำผิดเลี่ยงภาษีในภายหลังอีก ทางกรมสรรพกรจะยกเลิกสิทธิที่ได้ตาม พ.ร.ก. ทั้งหมด และทำการตรวจสอบการเสียภาษีย้อนหลังได้ตามปกติ ส่วนผู้ประกอบการที่ไม่เข้าร่วมโครงการ คาดว่าส่วนหนึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ดำเนินการถูกต้องอยู่แล้ว อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ไม่พร้อม ซึ่งหากบุคคลมีการทำธุรกรรมและไม่สามารถขอใบกำกับภาษีได้ ก็สามารถแจ้งให้กรมสรรพากรเข้าไปตรวจสอบได้

ขณะที่ นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการนิติบุคคลที่รายได้ปี 58 ไม่เกิน 500 ล้านบาท ที่จะเข้าโครงการให้มาลงทะเบียนกับกรมสรรพากรตั้งแต่ 15 ม.ค. - 15 มี.ค. 59 หรือมีเวลา 60 วัน พร้อมกับจดแจ้งการทำบัญชีเดียวกับกรมสรรพากร จะได้รับการยกเว้นจากการตรวจสอบภาษีย้อนหลังที่เกิดก่อนวันที่ 1 ม.ค. 59 ทั้งหมด

“การไม่ตรวจสอบภาษีย้อนหลังและการลดภาษีเพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าโครงการ จะทำให้กรมสรรพากรเสียรายได้ 10,000 ล้านบาท แต่กรมสรรพากรจะเก็บภาษีทางตรงและทางอ้อมได้เพิ่มขึ้น ทำให้การเสียภาษีทางตรงมีโอกาสที่จะปรับลดลงไปได้อีก โดยกรมฯ ต้องการเดินไปข้างหน้ากับผู้เสียภาษี ที่ปัจจุบันมีนิติบุคคลที่มีรายได้เกิน 500 ล้านบาท คิดเป็น 98% ของนิติบุคคลที่อยู่ในระบบภาษี”

นอกจากนี้ นิติบุคคลที่อยู่ระหว่างกรมสรรพากรตรวจสอบการเสียภาษี เป็นผู้ออกใบกำกับภาษีปลอม หลีกเลี่ยงภาษีอากร หรืออยู่ระหว่างการดำเนินคดีทางภาษี ก่อนวันที่ 1 ม.ค. 59 ก็ยังสามารถมาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ โดยสรรพากรจะดำเนินการเฉพาะส่วนที่ตรวจสอบอยู่เดิมเท่านั้น จะไม่ตรวจสอบเพิ่มเติมจากที่ดำเนินการอยู่


กำลังโหลดความคิดเห็น