เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่า “ดาหน้า” กันมาถล่มรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ว่าได้ สำหรับเครือข่ายคนในครอบครัวของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคมแท็กทีมกันเข้ามาในช่วงส่งท้ายปีกันเลยทีเดียว และน่าสังเกตก็คือเค้นเอาเฉพาะ “ตัวหลัก” เกรดเอที่ยังเหลืออยู่ ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายที่ถล่มก็ต้องพุ่งไปที่ระดับขุมพลังอำนาจเช่นเดียวกัน
ที่บอกว่าน่าสนใจก็คือ คราวนี้แพกกันมาเป็นทีมแบบมีความหมายทั้ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พานทองแท้ ชินวัตร ภูมิธรรม เวชยชัย และ กิตติรัตน์ ณ ระนอง คนพวกนี้หากทำความเข้าใจจากแบ็กกราวด์ก็ไม่ต่างจากคนในครอบครัวเดียวกัน ซึ่งเนื้อหาการโจมตีก็ต้องพุ่งไปที่ระดับขุมพลังหลักก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพราะรู้กันอยู่ว่าหากดิสเครดิตผู้นำลงได้มันก็ย่อมส่งผลสะเทือนไปถึงคนอื่นแบบลูกระนาด
อย่างคราวนี้ที่เครือข่ายของทักษิณ ชินวัตร หยิบยกขึ้นมาก็มีทั้งประเภทแก้ต่างปกป้องความล้มเหลวของตัวเองจากโครงการรับจำนำข้าว แล้วย้อนมาดิสเครดิตรัฐบาลปัจจุบันจากการระบายข้าวเพื่อป้องกันความเสียหายจากนโยบายในอดีต รวมไปถึงการกล่าวหาในทำนองว่าพวกเขาถูก “ใช้อำนาจ” กระทำแบบไม่เป็นธรรมจากกรณีถูกดำเนินคดีทั้งทางอาญาและแพ่ง
สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ คนพวกนี้จะพยายามขยายแผลจากความผิดพลาดของฝ่ายรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่กระทบชิ่งไปถึงผู้นำกองทัพอีกด้วยจากปมทุจริตโครงการอุทยานราชภักดิ์ การปกป้องเสียงโจมตีฝ่ายการเมือง โดยคราวนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ตอบโต้ว่าฝ่ายการเมืองหรือนักการเมืองไม่ได้เลวร้ายเสมอไป และอ้างว่าที่ผ่านมาเป็นการจัดสรรทรัพยากรเพื่อความสุขของคนส่วนใหญ่ อย่าใช้อคติหรือคิดไปเองสรุปเอาเองอะไรประมาณนี้ และตบท้ายด้วย “โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร” ลูกชายของทักษิณ ชินวัตร ที่เหน็บแหนมว่าตัวเองไม่อยากเป็นคนที่อยู่ในกลุ่ม .50 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่ชื่นชอบรัฐบาล จากที่มีการอ้างอิงผลสำรวจโดยหน่วยงานของรัฐที่อ้างว่ามีคนสนับสนุนและชื่นชอบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สูงถึงร้อยละ 99.50 เลยทีเดียว ซึ่งจากการอ้างอิงผลสำรวจดังกล่าวทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ในเชิงขบขันเหน็บแนมตามมามากมาย ไม่เว้นแม้แต่สื่อต่างประเทศที่มักจ้องจิกกัดก็ไม่พลาดที่จะเปรียบเทียบเป็นผลสำรวจที่มักเกิดขึ้นได้ในประเทศเกาหลีเหนือ และอิรักในยุคซัดดัม ฮุสเซน
แน่นอนว่านั่นเป็นการตอบโต้จากฝ่ายตรงข้าม เป็น “กลุ่มอำนาจเก่า” ที่ตกเก้าอี้เป็นผลมาจากการใช้อำนาจมิชอบ ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ปัจจุบันกำลังถูกไล่บี้ ถูกดำเนินคดีทั้งอาญาและแพ่ง คนพวกนี้สองในสามเสี่ยงคุกตะราง และยังเสี่ยงต่อการถูกยึดทรัพย์ รวมทั้งยังมีแนวโน้มว่าเส้นทางการเมืองในวันข้างหน้าจะถูก “ปิดตายตลอดชีวิต” มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าเมื่อได้จังหวะ หรือได้เห็นช่องว่างก็ย่อมฉวยโอกาสแทรกเข้ามา
ที่แน่ๆ โดนหนักกว่าใครก็หนีไม่พ้น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่โดนทั้งคดีอาญาและแพ่งจากโครงการรับจำนำข้าว คดีอาญานั้นในเดือนมกราคมปีหน้าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเริ่มไต่สวนพยานกันแล้ว นั่นหมายความว่าคดีเริ่มเดินเครื่องเต็มตัวแล้ว ซึ่งในศาลฎีกาฯ แม้ว่าจะยื้อกันเต็มที่ก็คงใช้เวลาไม่นานนัก นี่ก็เสี่ยงคุก
จากนั้นภายในสิ้นปีนี้หรืออย่างช้าก็ไม่เกินต้นปีหน้าคดีทางแพ่งก็จะสรุปความเสียหายจะมีคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ความเสียหายออกมา หลังจากมีการเพิ่มพยานเข้ามาอีกหลายปาก แต่ในที่สุดก็ถูกปฏิเสธและเตรียมสรุปความเสียหาย ซึ่งเบื้องต้นอย่างที่รู้กันว่าตัวเลขไม่น่าจะหนี 5 แสนล้านบาท นี่ก็เสี่ยงถูกยึดทรัพย์ แม้ว่าเส้นทางคดีอาจจะยาวนาน แต่ในเมื่อยังเป็น “ชนักปักหลัง” อยู่แบบนี้มันก็ขยับไปไนลำบาก ที่สำคัญ “ถูกห้ามออกนอกประเทศ” นั่นก็หมายความว่า “เส้นทางหนี” ชักตีบตัน
แล้วก็มาถึง “ลูกโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ที่นาทีนี้เริ่มมองเห็นเส้นทางวิบากรออยู่ข้างหน้าไม่ไกล จากคดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มกฤษดามหานครอันอื้อฉาว ล่าสุดทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ในยุคปัจจุบันมีการขุดคุ้ยเส้นทางการเงิน ปรากฏว่าเฉียดเข้าใกล้มาทุกที ซึ่งว่ากันว่าคดีดังกล่าวน่าจับตา เพราะหากเอาจริงก็อาจได้เห็นอีกหลายคนต้องเสี่ยงคุก หาก “ยังสาวกันไม่หยุด” ซึ่งที่ผ่านมามีการใช้อำนาจการเมืองซุกเอาไวัหลายปี
ขณะเดียวกัน เมื่อรวมเอากับเรื่องการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ใกล้เสร็จแล้ว เพราะตามกำหนดปลายเดือนมกราคมปีหน้าก็จะได้เห็น “ร่างแรก” ของรัฐธรรมนูญกันแล้ว และไม่ว่ามองในมุมไหนล้วนเป็นอุปสรรคต่อคนในครอบครัวของทักษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น เพราะมีคุณสมบัติต้องห้ามกันเรียงตัว
ดังนั้นนี่จึงเป็นคำตอบว่าทำไมคนในครอบครัวของทักษิณ ชินวัตร ถึงต้องดิ้นกันพล่านและดาหน้าออกมาถล่มรัฐบาล ถล่ม คสช.และถล่ม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะทุกอย่างเริ่มงวดเข้ามา โดยเฉพาะในปีหน้าเชื่อจะยิ่ง “จัดหนัก” เพราะทุกอย่างใกล้เข้ามาแล้ว ขณะเดียวกันก็ต้องจับตาดูกันว่าฝ่าย “อำนาจใหม่” ที่บริหารกันอยู่ในเวลานี้จะเผยจุดอ่อนออกมาให้เห็นได้เรื่อยๆ หรือไม่ เพราะในช่วงปลายปีเริ่มเห็นอาการกันแล้ว หากยังพลาดกันอีก มันก็เสี่ยง “ป๊อกเดียวจอด” ได้เหมือนกัน
โดยเฉพาะช่วงเวลาเดิมพันสูง ตีวงแคบเข้ามาไม่มีทางถอยกันแล้ว!