xs
xsm
sm
md
lg

เหมือนนัดกันเขียน “โต้ง-อ้วน-ปู-โอ๊ค” โผล่! สังคมออนไลน์ ขย่มรัฐบาล คสช.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“โต้ง-อ้วน-ปู-โอ๊ค” โผล่! เขียนผ่านสังคมออนไลน์ ขย่มรัฐบาล ซัดชอบโยนความรับผิดให้รัฐบาลก่อน “ยิ่งลักษณ์” เหน็บการเมืองคือการจัดสรรทรัพยากรเพื่อความสุขของคนส่วนใหญ่ อย่าใช้ความรู้สึกของตัวเองเป็นตัววัด “ภูมิธรรม” จวก “ไก่อู” พูดทำลายความนิยมรัฐบาล ไล่ไปหาจริยธรรมของตัวเอง “โอ๊ค” แขวะไม่อยากเป็นเสียง 0.5%

วันนี้ (27 ธ.ค.) มีรายงานว่า คนในพรรคเพื่อไทยรวมทั้งคนใกล้ชิดนายทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านสังคมออนไลน์ โดยให้ความเห็นด้านการเมืองอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีต รมว.คลังรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “ในวันคริสต์มาสของผมปีนี้ไม่ชื่นมื่นหัวใจเอาเสียเลย เพราะเผลอไปฟังการ “กล่าวปิดแถลงสรุปผลการดำเนินงานของรัฐบาลในรอบหนึ่งปี” ที่นอกจากจะจับเนื้อหาของสุดยอดผลงานอันน่าภาคภูมิใจของรัฐบาล จนมีความนิยมจากประชาชนเกือบเต็มร้อย ไม่ค่อยจะได้แล้ว ยังได้ยินการพาดพิงถึงรัฐบาลก่อนในเรื่องโครงการรับจำนำข้าวเปลือก เข้าไปเต็มหูสองข้าง ที่มีใจความสำคัญว่า (1) จะไม่ขยายเวลาดำเนินการสอบสวนเพื่อเอาผิดทางละเมิด เพื่อสั่งให้มีการชดใช้เป็นทรัพย์สิน และ (2) จะไม่ยอมรับผิดชอบใดๆ จากการขายข้าวทั้งสิ้น (ไม่ว่าจะกระทำดี หรือไม่ดีประการใด) และยังเป็นความชอบที่จะโยนความรับผิดไปให้รัฐบาลที่แล้วเสียอีก ผมขอแสดงความรู้สึกอย่างกระชับที่สุดนะครับว่า “ลุแก่อำนาจ และไร้ยางอาย”

การให้โอกาสแก่ผู้เกี่ยวข้องได้ชี้แจง และให้ข้อมูลอย่างเพียงพอ เป็นสาระสำคัญของ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิด พ.ศ. 2539 ที่เอามาใช้ และ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ที่ใช้ประกอบ พ.ร.บ.ดังกล่าว ดังนั้นการกล่าวว่าจะไม่ขยายเวลาสอบข้อเท็จจริงจนครบถ้วนกระบวนความ ทั้งๆ ที่ผู้เกี่ยวข้องยังมีคำชี้แจง และข้อมูลที่จะแสดงต่อ คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงอยู่อีกมาก ย่อมตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากจะสรุปได้ว่า ผู้มีอำนาจ ช่างใหญ่โตเสียจนอยู่ในภาวะ “ลุแก่อำนาจ” อย่างไม่คำนึงถึงกฎหมายของบ้านเมือง

ส่วนเรื่องการระบายข้าวด้วยวิธีการ และกระบวนการที่อาจไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการปิดโกดังไว้เนิ่นนานจนมีการเสื่อมสภาพเกินความสมควร จนถึงการระบายข้าวที่น่ากังขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประมูลข้าวที่กล่าวอ้างว่าเสื่อมสภาพ จำนวนกว่า 37,000 ตัน ที่กำลังถูกจับตา และทักท้วง ซึ่งแม้จะดูเหมือนมีประกาศตาม ม.44 มาคุ้มกันเอาไว้ก็ชัดเจนในประกาศฯ ของตนเองว่า คุ้มครองแต่การดำเนินการที่ “สุจริต” เท่านั้น ผมเห็นว่าความพยายามที่จะปิดป้องตนเองให้พ้นผิดทั้งๆที่อาจจะผิด พอเข้าใจได้อยู่หรอก แต่การที่คิดจะไปเที่ยวโยนอะไรต่อมิอะไรให้คนก่อน ที่ไม่ได้รู้เห็นการปฏิบัติอันอาจไม่สมควรของพวกท่านนั้น อยากถามดังๆ ว่า “ไม่มียางอาย” กันบ้างเลยหรือ

ผมเข้าใจว่าท่านผู้นำคงจะเข้าใจผิดเรื่องค่าเสียหายชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะการขายข้าวราคาถูกกว่าคุณภาพที่ถูกต้องนั้น คนที่ต้องรับผิดชอบคือเซอร์เวเยอร์หรือเจ้าของโกดังไม่ใช่รัฐบาล แต่ถ้าขายราคาถูกกว่าราคาตลาดจนเกินสมควรนี้คนที่ได้ประโยชน์จากส่วนต่างราคา คือผู้ซื้อและคนที่ไม่สุจริต ซึ่งรัฐบาลควรรีบตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงโดยเร็วก่อนที่ปัญหาจะลุกลามเหมือนโครงการอุทยานราชภักดิ์”

ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว @phumthamว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ระเบิดลงที่สี่แยกราชประสงค์และมีคนเสียชีวิตจำนวนมาก พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ออกมาแถลงโยนความผิดไปให้กลุ่มการเมืองที่คิดต่างทันที ในขณะที่ยังไม่มีการไต่สวนใดๆ ดังนั้น พล.ต.สรรเสริญควรกลับไปทำงานในหน้าที่ของตัวเองในหน่วยงานเดิมที่สังกัดอยู่ดีกว่าพูดทำลายความนิยมของรัฐบาล ส่วนโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค จะถูกยกเลิกหรือจะเปลี่ยนแปลงเพราะรัฐบาลแบกภาระไม่ไหวนั้น เป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของผู้นำและรัฐมนตรีในรัฐบาลทั้งสิ้น แต่เพียงชั่วค่ำคืน พลิกกลับว่าไม่ได้พูด แล้วยังจะเหลือสิ่งใดให้มีความน่าเชื่อถือน่ารับฟังหลงเหลืออยู่อีก ทั้งนี้ก่อนจะถามหาจริยธรรมของผู้อื่น เขาควรเริ่มต้นค้นดูจริยธรรมของตนเองก่อนดีกว่าหรือไม่ว่าจะหาได้สักเท่าใด

“ผมแค่เริ่มต้นสะท้อนความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ที่ยังลำบากอยู่ให้รัฐบาลทราบว่าถ้ายกเลิก คนส่วนใหญ่ของประเทศจะเดือดร้อนหนัก ถ้ารัฐบาลไม่มีความสามารถจะบริหาร ก็หลีกทางให้คนที่เขาทำได้มาทำ เสนอแค่นี้ก็ทนฟังไม่ได้ แล้วจะไปรับฟังความเห็นเรื่องใหญ่ๆที่จะนำไปแก้ปัญหาต่างๆของประเทศได้อย่างไร” นายภูมิธรรม

ส่วนนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนเห็นข่าวโฆษกรัฐบาลออกมาอบรมสื่อมวลชนอันเนื่องมาจากการนำเสนอข่าวสารที่ทำให้นายกรัฐมนตรีมีความไม่สบายใจ ขอให้สื่อมวลชนกลับตัวกลับใจ หยุดทำร้ายสังคมและประเทศชาติแล้ว หากท่านไม่พาดพิงถึงโครงการรับจำนำข้าวในทางเสียหาย ตนจะไม่ออกมาให้ความเห็น เพราะกลัวจะถูกป้ายสีตามความถนัดว่าเอาใจสื่อ ตนจึงขอแสดงความเห็นในประเด็นที่มีส่วนได้เสีย ทั้งนี้ ตนคงไม่มีความเห็นต่อการทำหน้าที่ของสื่อเนื่องจากไม่มีส่วนได้เสีย เพียงแต่อยากเตือนสติท่านโฆษกผ่านไปยังรัฐบาลว่า ประชาชนจะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของสื่อ เพราะสื่อเป็นธุรกิจที่อยู่ได้ด้วยการสนับสนุนของประชาชน หากนำเสนอข่าวสารที่ขัดต่อความเป็นจริงประชาชนก็จะเลิกเชื่อถือและเลิกบริโภคสื่อนั้น ยิ่งเป็นการให้ร้ายรัฐบาลที่ได้รับความนิยมจากประชาชนถึงร้อยละ 99.5 เท่ากับสื่อนั้นกำลังฆ่าตัวตาย เพราะคงจะเหลือประชาชนเพียงร้อยละ 0.5 เท่านั้นที่จะสนับสนุนสื่อดังกล่าว แบบนี้รับรองเจ๊งแน่นอน ท่านโฆษกจะไปวิตกทำไม

นายอนุสรณ์กล่าวอีกว่า ท่านโฆษกกล่าวหาว่าสื่อมวลชนบางค่ายช่วยปกปิดกลบเกลื่อนความผิดความเสียหายที่รัฐบาลเก่าทำไว้กับประเทศชาติ โดยละเลยที่จะนำเสนอความจริงให้ประชาชนได้รับทราบเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวที่รัฐบาลชุดปัจจุบันต้องเข้ามาบริหารจัดการปัญหาที่รัฐบาลชุดเก่าก่อไว้ สร้างความเสียหายให้แก่งบประมาณแผ่นดินที่จะต้องใช้จ่ายดูแลพี่น้องประชาชนทั้งประเทศนั้น ตนมองว่าสื่อมวลชนทุกชนิดนำเสนอข้อเท็จจริงในเรื่องนี้จนประชาชนทั่วไปทราบดีแล้วว่า คดีรับจำนำข้าวเป็นคดีแรกที่นายกรัฐมนตรีผู้ดำเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรถูกดำเนินคดีด้วยวิธีที่แปลกพิสดาร แต่โดยที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว สื่อมวลชนจึงไม่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้อีก เพราะต้องรอผลของคำพิพากษาของศาลที่จะชี้ถูกหรือผิด ไม่ควรที่บุคคลภายนอกจะไปก้าวล่วงวิพากษ์วิจารณ์อันเป็นการกดดันการพิจารณาคดีของศาล นับได้ว่าสื่อมีจรรยาบรรณหรือมีมารยาทแล้ว มารยาทเหล่านี้ท่านโฆษกน่าจะศึกษาหรือหามาอ่าน แต่คงต้องซื้อมาหลายฉบับหน่อย

พร้อมกันนี้ตนขอให้ความรู้เป็นวิทยาทานแก่ท่านโฆษก ซึ่งหากจะนำไปเผยแพร่ต่อก็ไม่ขัดข้องว่า การทำงานของทุกรัฐบาลเป็นการทำงานที่ต่อเนื่อง รัฐบาลใหม่จะต้องรับผิดชอบงานเดิมที่รัฐบาลเก่าทำไว้ ซึ่งเป็นหน้าที่ เช่น รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ต้องรับผิดชอบใช้หนี้ IMF แม้ไม่ได้เป็นผู้ก่อหนี้แต่ตนก็ไม่เคยเห็นท่านออกมาต่อว่ารัฐบาลเก่า หรือรัฐบาลก่อนหน้า ก็มีหน้าที่ต้องแก้ไขความเสียหายที่เกิดจากการยึดอำนาจหรือความเสียหายที่รัฐบาลนี้ก่อไว้โดยไม่มีสิทธิปฏิเสธ รวมถึงการที่รัฐบาลต้องจ่ายเงินชำระหนี้ซื้อเรือเหาะที่เหาะไม่ได้ หรือซื้อเครื่องตรวจจับระเบิดที่ลวงโลก ก็ไม่เคยออกมาเรียกร้องให้สื่อมวลชนออกมาโจมตีหรือช่วยกันใส่ร้าย เพราะเรื่องนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินคดีของ ป.ป.ช.แล้ว แม้จะล่าช้ากว่าคดีของพวกตนอย่างเทียบกันไม่ได้เลยก็ตาม เพราะพวกตนได้รับการอบรมสั่งสอนมา

อย่างไรก็ตาม อยากบอกกับพี่น้องประชาชนที่เลือกพวกเรามาว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ แม้เป็นหญิงก็พร้อมที่จะต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกฎหมาย ไม่เคยแม้จะคิดให้ใครไปออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ อันเป็นพฤติกรรมของพวกขี้ขลาดที่หนีการตรวจสอบ สิ่งนี้คือความสง่างามของพวกเราที่เป็นนักการเมืองมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ท่านโฆษกกล่าวถึงจรรยาบรรณของสื่อที่ทำหน้าที่เสนอข้อมูลข่าวสารให้กับประชาชน ท่านเองก็ต้องไม่ลืมด้วยว่าท่านก็กำลังทำหน้าที่ดังกล่าวอยู่ ซึ่งต้องมีจรรยาบรรณด้วยเช่นกัน สิ่งที่ท่านต้องทำคือการพิจารณาตัวเอง หากอะไรที่บกพร่องก็ควรแก้ไขอันเป็นพฤติกรรมของคนดี ไม่ใช่แก้ตัวด้วยการให้ร้ายผู้อื่น ซึ่งเป็นพฤติกรรมของคนอีกประเภท

วันเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ส่วนตัว ว่า การเมืองคือการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อันจำกัดของประเทศเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ เป็นการวัดความสามารถของรัฐบาล ผ่านการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชนไม่ใช่ใช้ความรู้สึกหรือความตั้งใจของตัวเองเป็นตัววัด

ด้านนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ โพสต์ข้อความเช่นกันว่า “วันนี้เมื่อ 11 ปีที่แล้ว เกิดเหตุคลื่นยักษ์สึนามิ ถล่มฝั่งทะเลอันดามันทางภาคใต้ของไทยครับ วิกฤตที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นยังมีปรากฏการณ์ที่ดีงามเกิดขึ้นเพื่อถ่วงดุลกัน นั่นก็คือความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ ซึ่ง ณ เวลานั้นธารน้ำใจของพี่น้องไทยจากทั่วทุกสารทิศ ต่างก็หลั่งไหลมาช่วยพี่น้องผู้ประสบภัยในภาคใต้ จนประเทศชาติสามารถผ่านพ้นวิกฤตกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ในเร็ววัน ขณะนั้นเรามีรัฐบาลที่ยึดโยงกับประชาชนครับ มีรัฐบาลที่ทำงานโดยมีประชาชนเป็นจุดศูนย์กลาง แล้วรัฐคอยสนับสนุนและดูแลประชาชนอยู่รอบด้าน ดูแลในทุกๆ เรื่อง สร้างความนิยมชมชอบ ให้กับพี่น้องประชาชน จนเกิดเป็นคำกล่าวขานในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ว่า เป็น “ประชานิยม” เมื่อคนเราอยู่ร่วมกันได้อย่างสุขกายสุขใจ มีความสมัครสมานสามัคคีกัน เมื่อมีวิกฤติการณ์เกิดขึ้น คนที่ไม่เดือดร้อน ย่อมมีความพร้อม และอยากที่จะช่วยเหลือคนอื่น ที่ตกทุกข์ได้ยาก ให้พ้นทุกข์เช่นเดียวกับตน ในขณะเดียวกัน ถ้าสังคมแตกแยก ประชาชนต้องทนทุกข์ระทม ข้าวยากหมากแพง อย่าว่าแต่มีวิกฤติเกิดขึ้นเลย ในภาวะปกติยังแทบจะเอาตัวกันไม่รอด

รัฐบาลปัจจุบันนี้จะยึดโยงกับประชาชนแค่ไหน? จะทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่? ทุกโครงการมีแต่ความโปร่งใสไร้มลทิน..ใช่หรือ? นโยบาย “ประชารัฐ” จะเป็นที่ศรัทธามากกว่า “ประชานิยม” จริงหรือไม่? ความนิยมในผลงานของรัฐบาล จะสูงถึง 99.5% อย่างที่ประโคมข่าวกันจริงหรือ? เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์..!!

สึนามิปรากฏการณ์ที่เป็นภัยธรรมชาติ ยังคงมีความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ เป็นตัวถ่วงดุลเยียวยา

รัฐประหารที่เป็นภัยต่อประชาธิปไตยของประเทศชาติ เป็นการกระทำของมนุษย์ล้วนๆ100% จะมีข้อดีหลงเหลืออยู่บ้างหรือไม่?

ผมไม่อยากเป็นเสียงส่วนใหญ่ 0.5% ของประเทศครับ..!!”




กำลังโหลดความคิดเห็น