ป้อมพระสุเมรุ
ณ ตอนนี้ ยังต้องถือว่า “รถไฟไทย-จีน”เป็น “มหากาพย์แห่งความฝัน”ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง แม้จะทำบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) กันมาหลายต่อหลายครั้ง ถึงกระทั่ง“บิ๊กจิน”พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะไปทำพิธีปักธงแสดงสัญลักษณ์การเดินหน้าโครงการระหว่างกันที่สถานีเชียงรากน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันก่อนก็ตาม
เพราะอะไรๆ มันก็ยังไม่แน่นอน อย่างน้อยก็ในช่วง 3 รัฐบาลหลังสุดของไทย มีการจรดปากกาเซ็นเอ็มโอยูระหว่างไทยกับ“พี่จีน” มาแล้วทุกรัฐบาล แต่“รถไฟไทย-จีน”ก็ยังถูกแช่แข็ง ไม่ขยับออกจากชานชาลา
ไล่ตั้งรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ที่เกือบผลักดันรถไฟไทย-จีน เส้นหนองคาย-นครราชสีมา-กรุงเทพฯ โดยมี “สุเทพ เทือกสุบรรณ - กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ”เป็น “มือดีล”ในขณะนั้น แต่ฝันก็สลายไปในพริบตา เมื่อ“หลิว จื้อจวิน”อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงรถไฟ “คีย์แมน”คนสำคัญของฝ่ายจีน โดนข้อหาโกงกินชาติไปเสียก่อน
ต่อด้วยรัฐบาล“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ได้เปลี่ยนเส้นทางรถไฟไทย-จีน จากสายอีสานปรับเข็มทิศบ่ายหน้าไปทางสายเหนือแทน โดยหวังเชื่อมต่อเส้นทางให้ไปถึง“เชียงใหม่”ซึ่งถือเป็น “เมืองหลวง”ของพรรคเพื่อไทย โดยไม่สนใจว่าฝ่ายจีนอยากได้หรือไม่ เพราะรถไฟสายเหนือไม่สามารถเชื่อมไปถึงแผ่นดินมังกรได้ เมื่อ“รัฐบาลจีน”ไม่เห็นด้วยกับ“รัฐบาลปู” จึงบีบให้เซ็นเอ็มโอยูศึกษาเส้นทาง“สายเหนือ-สายอีสาน”คู่ขนานกันไป จะว่าคราเคราะห์ หรือเป็นบุญก็ไม่รู้ ที่โครงการไม่คืบหน้าเท่าที่ควร เพราะทางจีนอยู่ในช่วงจัดตั้ง“องค์การรถไฟแห่งประเทศจีน”จึงมีความล่าช้าที่ฝ่ายการประสานงาน
แถมโครงการรถความเร็วสูงไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพ-เชียงใหม่ ของ “รัฐบาลปู”ตามแผนอภิมหาเมกะโปรเจกต์ 2 ล้านล้านบาท ยังถูกถล่มอย่างหนักในการใช้“เงินกู้”มหาศาล สร้างภาระหนี้สินให้กับลูก-หลานในอนาคตอีกอย่างน้อย 50 ปี ที่ต้องติดหนี้กันหัวโต แต่ฝ่ายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ไม่สามารถหาเหตุผลมารองรับได้ แถม“ผู้นำหญิง”ยังไม่ประสีประสา หลุดปากว่าลงทุนแพงระยับ ก็หวังให้คนภาคอื่นๆได้กินผักสดๆจากเชียงใหม่
จนเจอวาทกรรมสร้างรถไฟ้าความเร็วสูงไว้“ขนผัก” ทำเอาไปไม่เป็น เรื่องก็ถูกดองไว้ และก็เป็น“ศาลรัฐธรรมนูญ”ที่ลงดาบว่า โครงการ 2 ล้านล้านบาท ขัดรัฐธรรมนูญ จนเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้“คุณหนูปู”ต้องยุบสภา และกระเด็นออกจากเก้าอี้นายกฯ ในที่สุด
มาถึง “รัฐบาลบิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือตั้งแต่ที่ยังบริหารประเทศในนามของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งชัดเจนตั้งแต่ต้นว่า เน้นการกระชับความสัมพันธ์กับ“มังกรจีน”เหนือ “มหามิตร”ประเทศอื่นๆ ด้วยคอนเนกชั่นของคนในรัฐบาลคสช. ทั้ง “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หรือ“เฮียกวง”สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่แนบแน่นกับ บิ๊กๆของ “รัฐบาลจีนแดง”เป็นพิเศษ
รวมไปถึงปัจจัยสำคัญที่รัฐบาล คสช. เลือกแทงหวยไปทาง“จีน”มากกว่ามิตรประเทศทางตะวันตก ก็เพราะเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ที่“ฝั่งตะวันตก”ตั้งแง่ไม่ยอมรับรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ด้วยหาว่าไม่เป็นประชาธิปไตย โดยเฉพาะ“สหรัฐอเมริกา”ที่รุกไล่ “รัฐบาลบิ๊กตู่”อย่างหนักตั้งแต่วันที่คสช.เข้ามา จนมาถึงวันนี้ก็ยังไม่เลิกตอแย
“รัฐบาลบิ๊กตู่”จึงต้องพึ่งบารมีของ“พี่จีน” บลั๊ฟเพื่อนจอมเจ้าเล่ห์อย่าง“อินทรีมะกัน”
เรื่องที่หนึ่งที่จะแสดงให้เห็นถึงความ“ซี้ย้ำปึ้ก”ของ “พี่จีน-น้องไทย”ก็คือเรื่องการค้า-การลงทุน ระหว่างกัน ซึ่ง“รถไฟไทย-จีน” ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของทั้งสองประเทศ
ฝ่ายไทยต้องการยกระดับระบบขนส่งคมนาคมของตัวเอง โดยเฉพาะระบบราง ที่จะช่วยประหยัดงบประมาณในการขนส่งได้มากโข รวมทั้งเป็นเส้นทางเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย ส่วนฝ่ายจีนก็ต้องการให้ระบบขนส่งทางรางของไทยสามารถเชื่อมโยงไปจนถึงประเทศในอาเซียนทั้งหมด สานตำนาน“เส้นทางสายไหม”ที่มาสะดุดอยู่ลงในดินแดนแหลมทองหลายสิบปี ทำให้การแผ่ขยายอิทธิพล“มังกรจีน”ไปยังปลายแหลมมลายู ทำได้ไม่ถนัดถนี่นัก
เรียกว่าหากรถไฟไทย-จีน เดินหน้าได้ ก็ “วิน-วิน”กันทั้งคู่
แต่ก่อนที่จะ“วิน-วิน”ก็ต้องเจรจาต้าอวย ตกลงผลประโยชน์ให้ลงตัวเสียก่อน เพราะแม้จะมีการบรรลุข้อตกลงตามเอ็มโอยู ในการตั้งคณะทำงานร่วมกันในเบื้องต้นแล้ว แต่ยังไม่มีการลงนามเอ็มโอยูการก่อสร้างได้อย่างเป็นทางการ
เพราะ“พี่จีน”ยังเล่นแง่ ต่อรองราคาที่“รัฐบาลบิ๊กตู่”เกินจะรับได้
ตามข่าวล่าสุด ฝ่ายจีนได้เสนอรายละเอียดโครงการลงทุนรถไฟไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย และแก่งคอย-มาบตาพุด ระยะทาง 873 กิโลเมตร สรุปว่า ใช้เงินลงทุนทั้งโครงการกว่า 5.3 แสนล้านบาท แยกเป็นค่าก่อสร้างประมาณ 4 แสนล้านบาท อีก 1 แสนล้านบาท เป็นค่างานระบบและรถไฟฟ้า มากกว่าที่เคยประเมินไว้ที่ 4 แสนล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นค่าก่อสร้างที่สูงมาก เมื่อเทียบกับ "รถไฟความเร็วปานกลาง" ที่ระบุมาใน “ใบเสนอราคา”
เรื่องนี้ "สามารถ ราชพลสิทธิ์" อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ในฐานะ "กูรูรถไฟฟ้า" ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ตั้งข้อสังเกตในท้องเรื่อง "ปริศนาค่าก่อสร้างรถไฟไทย-จีน" มีการนำข้อมูลเปรียบเทียบให้เห็นว่า "ค่าก่อสร้าง" ถีบตัวสูงขึ้นมโหฬารบานตะไท จากที่ "ฝ่ายจีน"เคยประเมินก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคาย ไว้เมื่อปี 2555 ที่ตกกิโลเมตรละ 388.2 ล้านบาท มาปีนี้ดีดลูกคิดแล้วตกกิโลเมตรละ 607 ล้านบาท
“ดร.สามารถ" ตั้งคำถามด้วยว่า เหตุใดงบประมาณมหาศาล "ครึ่งล้านล้าน"กลับได้แค่ "รถไฟความเร็วปานกลาง" ที่วิ่งเร็วสูงสุดแค่ 180 กม./ชม. ห่างชั้น รถไฟความเร็วสูง ที่ต้องวิ่งได้ 250 กม./ชม.ขึ้นไป ถ้าว่ากันตรงๆ ต้องบอกว่าแพงกว่าโครงการ 2 ล้านล้านบาท สมัย"รัฐบาลปู" ที่ถูกด่าขรมเมืองเป็นเท่าตัว
จากรายงานข่าวระบุด้วยว่า ฝ่ายจีนยังเสนอดอกเบี้ยเงินกู้ให้ไทยใช้ก่อสร้างอัตรา 2.5% ทั้งที่ไทยต้องการให้อยู่ในอัตราไม่เกิน 2% สร้างความไม่พอใจให้“บิ๊ก คสช.”ที่บ่นอุบว่า “พี่จีน”ค้ากำไรเกินงาม โดยอ้างว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่า“ประเทศลาว”ที่โดนดอกเบี้ยถึง 3%
เรื่องนี้“กูรูวงการคมนาคม”ตั้งข้อสังเกตว่า รูปแบบการก่อสร้างรถไฟ้าไทย-จีน กับ รถไฟไทย-ลาว แตกต่างกันมาก เพราะ“ฝ่ายลาว” ให้ผู้รับเหมาจีน และวัสดุของจีนเข้ามาก่อสร้างเป็นหลัก แต่ไทยใช้วัสดุก่อสร้างของไทย
ข่าวยังไม่กรองบอกว่า“นายกฯตู่”ยังไม่เซย์เยสกับ “ตัวเลข 5.3 แสนล้านบาทบวกดอกเบี้ย 2.5%” และสั่งให้“บิ๊กป้อม - เฮียกวง”แบกหน้าไปต่อราคาโดยด่วน รวมทั้งให้ไปบอกปัดเงื่อนไขที่ไม่อาจรับได้ของ“ฝ่ายจีน”ที่จะใช้แรงงานจีนเท่านั้นเข้ามาก่อสร้าง แถมยังขอตั้งรกรากแบบถาวรในไทย ระหว่างก่อสร้างด้วย
แหล่งข่าวคนเดิมบอกว่า เรื่องนี้ “บิ๊กตู่” ไม่พอใจอย่างมาก
แต่จะทู่ซี้ไปได้ซักกี่น้ำ เพราะคนที่ถือไพ่เหนือกว่าย่อมเป็นฝ่ายจีน ทั้งเรื่องการคานอำนาจการเมืองระหว่างประเทศที่รู้ว่า“น้องไทย” ไร้ที่พึ่ง รวมทั้งการอุดหนุนสินค้าทางการเกษตรของไทย ที่มีแต่ข่าวลงนามสั่งซื้อ ทั้งข้าว-ยางพารา เป็นแสนเป็นล้านตัน แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องลงนามสัญญารถไฟไทย-จีน ให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะช้อปสินค้าไทยตามสัญญา
รูปการณ์นี้“รัฐบาลบิ๊กตู่”เป็นรองหนักมาก
แต่ก็มีข้อสังเกตจากอีกฝ่าย โดยเฉพาะทางฝั่ง“เพื่อไทย-เสื้อแดง”ที่มองว่า รัฐบาลคสช.เต็มใจที่จะ“สมยอม”และเดินหน้าโครงการในราคาที่แพงหูฉี่อย่างที่“ฝ่ายจีน”รีเควส มา มีการมโนให้ข้อมูล คิดเสร็จสรรพว่า หากตกลงที่ราคานี้จะมี“เงินทอน”เหลือเท่าไร มาถึง“ใครบางคน” ในคสช.
รวมไปถึงหวังผลไปถึงโครงการที่จะเป็นคู่ค้า-คู่ลงทุนกับ “พี่จีน”อีกในอนาคต ซึ่งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเอ่ยถึง“โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ”ที่เคยเคาะกันไปแล้วว่า เลือกใช้ของจีน จนถูกดักคอว่าล็อกสเปก ทำให้ “กองทัพ”ถอยกรูดพับโครงการมาถึงตอนนี้
เจอทั้ง“พ่อค้าจีน”เขี้ยวลากดิน เจอทั้ง “ฝ่ายตรงข้าม”ที่รอจังหวะประเคนแข้งใส่อย่างนี้ “รัฐบาล คสช.”ต้องดีดลูกคิดประเมินให้ดี หากปล่อยให้โครงการที่มี“ส่วนต่าง”มากมายก่ายกองขนาดนี้ผ่านไป คำถามเรื่องความโปร่งใสย่อมตามมา และนับวันจะถูกนำไปเปรียบเทียบว่า ไม่ต่างจาก “รัฐบาลทรราช”ที่ตัวเองสู้อุตส่าห์เสี่ยงชีวิตเข้ามาขับไล่ไป
ถึงเวลานั้น“รัฐบาลบิ๊กตู่”จะอยู่ยาก อำนาจล้นฟ้าที่มีอยู่ในมือก็อาจจะ“เอาไม่อยู่”นะนาย.