xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” นำแจงผลงาน 1 ปี ยันปฏิวัติครั้งนี้ต้องปฏิรูปอย่างแท้จริง พร้อมรับผิดชอบหากประชามติไม่ผ่าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ประยุทธ์” ร่ายยาวเปิดหัวแถลงผลงานรัฐบาล 1 ปี ย้ำปฏิวัติครั้งนี้ต้องมีการปฏิรูปอย่างแท้จริง โดยกำหนดเป็น 6 กลุ่ม ขอใช้เวลา 1 ปี 6 เดือนที่เหลือ วางรากฐานสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ และต้องทำต่อเนื่อง ซัดพวกบิดเบือนใส่ร้ายทางโชเชียลมีเดียเป็นพวกโรคจิต ขอโทษทำให้ไทยเสียประชาธิปไตย เล็งตั้ง คกก.ร่วมรัฐบาล เอกชน เข็นเศรษฐกิจเข้มแข็ง ขีดเส้น แก้ปัญหาค้ามนุษย์ 20 วัน ชี้ชะตาใบเหลือง-แดง ขณะเดียวกันยืนยันหากประชามติไม่ผ่าน รับผิดชอบอยู่แล้ว แต่ขอให้ประชาชนออกไปใช้

ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 08.30 น. วันนี้ (23 ธ.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวเปิดการแถลงผลการดำเนินงานรัฐบาลรอบ 1 ปี โดยมีรองนายกรัฐมนตรี ผู้แทนจาก คสช. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูงจากทุกกระทรวงเข้าร่วม

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การเตรียมการแถลงครั้งนี้มีความตั้งใจมาก พร้อมมา 3-4 วันแล้ว อยากให้เข้าใจตรงกัน อะไรที่เป็นปัญหาที่ต้องแก้ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ในฐานะที่ตนมารับผิดชอบวันนี้ต้องเป็นผู้นำที่ทำไม่ให้เกิดความแตกต่าง มีการปฏิรูปอย่างที่ทุกคนต้องการ ภาพความขัดแย้งต้องเอาออกทั้งหมด วันนี้จะมาพูดเรื่องอนาคต อย่าเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ที่เกิดไปแล้วใครรับผิดชอบก็ว่ากันในกระบวนการยุติธรรม

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การแถลงผลงานในระยะที่สองนั้นยากกว่าช่วงปีแรกในการสื่อให้คนได้ทั้งประเทศ เราต้องยอมรับว่ามีความแตกต่างหลายอย่างด้วยกันทั้งอาชีพ รายได้ การศึกษา ความเข้าใจ การบิดเบือนต่างๆ ทำให้เข้าใจไม่ตรงกัน จึงต้องสร้างความเข้าใจให้ได้ ประเทศเราไม่ได้อยู่แค่ปีนี้ปีหน้า หรือ 5 ปี แต่ต้องอยู่เป็นประวัติศาสตร์ของคนรุ่นใหม่ โดยเราเริ่มทำได้ในอีก 20 ปีที่จะไปถึงวันข้างหน้า ตนจะเริ่มตนให้ในเวลา 1 ปี 6 เดือนที่เหลืออยู่ว่าควรจะทำอะไร

วันนี้จะชี้แจงว่าปัจจัยในการทำงานของรัฐบาลมีหลายอย่าง ทั้งระบบราชการ งบประมาณ ปัจจัยภายนอกต่างประเทศ องค์กรระหว่างประเทศจับตาดูอยู่ มีกลุ่มต่อต้านบิดเบือน ทั้งหมดมันคือปัญหาเพราะไม่ใช่สถานการณ์ปกติ วันนี้ทุกคนเรียกร้องต้องการให้เป็นปกติ เป็นประชาธิปไตย เปิดสิทธิเสรีภาพทั้งหมด ถามว่ามันเป็นไปได้หรือเปล่า หากจะทำให้เกิดความแตกต่างมันก็ไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะเราทดลองกันมา 83 ปีแล้ว มีการปฏิวัติหลายครั้ง ฉะนั้นครั้งนี้อยากให้เป็นการปฏิรูปอย่างแท้จริงเพื่ออนาคตของลูกหลาน นั่นคือวัตถุประสงค์ที่ตนต้องการ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เราต้องทำงานเป็นกลุ่มงาน ไม่ใช่เป็นกระทรวงเอางบกระทรวงมาใช้ เป็นแท่งอย่างเดียวแล้วหมดไปทุกๆ ปี ความต่อเนื่องเชื่อมโยงกิจกรรมไม่เกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดความไม่ทั่วถึงไม่เป็นธรรม ซึ่งตนคิดวิธีการไว้แล้ว แม้ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ นักบริหาร เรียนจบด้านใดมาเป็นพิเศษ แต่เป็นผู้ปฏิบัติ เป็นนักปฏิบัติการบังคับบัญชาคนในกองทัพมา สมองสติปัญญาตนมีเท่านี้ แต่จะพูดให้ฟังว่าคิดอะไรบ้าง

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กลุ่มที่ต้องปฏิรูปนั้นมี 6 กลุ่ม โดยด้านความมั่นคงนั้นประชาชนต้องช่วยร่วมเฝ้าระวังไม่ใช่โยนให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่อย่างเดียว ด้านเศรษฐกิจต้องปรับโครงสร้างให้เข้มแข็ง ด้านสังคมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้นเป็นสิ่งสำคัญ การสร้างสังคมที่ไม่มีความขัดแย้งสำคัญที่สุด

งานด้านการต่างประเทศต้องเดินเชิงรุก ทั้งทางด้านการทูต ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จัดลำดับความเร่งด่วน และกลุ่มประเทศ เดินหน้าทุกด้านทั้งด้านเศรษฐกิจ การตลาด การค้าขาย ทูตทุกประเทศที่มาต้องเดินเศรษฐกิจไปด้วย ไม่ใช่มาจับมือจ๊ะจ๋ากันอย่างเดียว ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำไปแล้ว ในช่วงปีแรกจนถึงปีที่สอง และเหลือเวลาอีกปีครึ่งที่จะทำต่อให้ยั่งยืน โดยการบริหารราชการแผ่นดินจะต้อง บริหารเชิงแกนตั้ง บนลงล่าง จากนโยบายไปขับเคลื่อนและปฏิบัติ มีการติดตามจาก คตร. ซึ่ง คตร.ไม่ได้จับผิด แต่ดูในเรื่องของงบประมาณของแต่ละกระทรวงให้มีการเบิกจ่ายเร็วขึ้น ไม่เช่นนั้นงบประมาณก็ไม่ออกเสียที

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในเรื่องกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม ทำอย่างไรจะดูแลให้องค์กรที่เป็นต้นทางของการรักษากฎหมาย ให้เขามีประสิทธิภาพ มีรายได้เพียงพอ ประชาชน ข้าราชการ นักการเมือง ต้องเข้าใจกัน ไม่เช่นนั้นก็จะโยนกันไปมา จับผิดกันทั้งสองข้าง ทำอะไรไม่ได้ทั้งคู่ ความขัดแย้งก็เกิดขึ้น ทำอย่างไรให้คนในบ้านเมืองเคารพกฎหมาย ถ้าเคารพกฎหมายเจ้าหน้าที่ก็แสวงหาผลประโยชน์ไม่ได้ อย่าสมยอม ใครที่ขับรถเร็วต้องเสียค่าปรับก็ควรจะไปเสีย ไม่ใช่ถึงเวลาก็ขอให้ช่วย ไม่ได้แล้วในวันนี้ ต้องเริ่มจากตัวเองก่อนทุกอย่าง

“สำหรับผมมีรถนำ มีพลขับคงไม่โดน และคงไม่ทำผิดกฎจราจร และผมได้ห้ามเปิดไซเรนถ้าไม่จำเป็น บางทีนะรถได้ยินเสียงหวอ ผมก็ด่าเพราะเปิดเสียงหวอทำไม จะรีบไปไหนพลขับตอบว่า เปล่าครับ รถพยาบาลจอดข้างๆ แต่คนกลับมาด่าผมคิดว่ารถผมเปิดหวอ โดยไม่ได้ดูว่าข้างๆ มีรถพยาบาลจอด”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เราต้องลดความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น ปัญหาที่นำมาถกแถลงว่ากันไปมาวันนี้เลิกได้แล้ว ทุกคนรู้หมดแล้วว่าประเทศมีปัญหาอะไร เว้นแต่บางคนไม่รู้ วันนี้ที่ว่ายากเพราะระยะแรกกำลังตั้งไข่อยู่ จะล้มหรือเปล่ายังไม่รู้ พอจะเดินเตาะแตะได้ ก็เริ่มมีคนสกัดขา สิ่งเหล่านี้ท่านต้องหยุดให้ได้ เมื่อตนหยุดไม่ได้ ใครก็หยุดไม่ได้ ตำรวจก็ไม่ได้ กฎหมายก็ได้ เพราะทุกคนชินชากับการไม่เคารพกฎหมาย นั่นคือสิ่งสำคัญไม่มีคุณธรรม ขาดจริยธรรม จริยธรรมองค์กรก็หายไป ความเป็นคนไทยที่เคยประนีประนอม ความรักความสามัคคีหายหมด ไปหาคำตอบมาว่าเป็นเพราะอะไร

“การจะล้มหรือไม่ล้ม จะทำสำเร็จหรือไม่สำเร็จ อยู่ที่คำว่าประชารัฐ ความร่วมมือ รวมทั้งแนวตั้งและแนวนอน ต้องร่วมมือกันทำงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ข้าราชการ ประชาชนถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ต้องรู้ด้วยกันว่าจะทำอะไร และจะเชื่อมโยงกันอย่างไร วันนี้ทุกคนคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่พอฟังไปฟังมาก็ฝ่อลงๆ ต้องถามว่าเขาลงเพราะอะไร ข้างนอกลงหรือไม่ ตรงนั้นต้องดูด้วย ตัวเลขจีดีพีไม่ใช่สิ่งยืนยัน สิ่งที่จะยืนยันได้คือความพึงพอใจของประชาชน มีการจับจ่ายใช้สอยพอเพียง มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย การจะมองตัวเลขจีดีพี หรือตัวเลขส่งออกนำเข้า เป็นเพียงกฎเกณฑ์ กติกาที่โลกใช้กัน ซึ่งบางทีมันไม่เหมือนกัน อาเซียน ยุโรป หมู่เกาะมีความแตกต่าง”

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ตนจะนำสิ่งเหล่านี้ไปพูดในเวทีกลุ่มจี 77 ว่าจะเดินหน้า 134 ประเทศอย่างไรให้มีอำนาจต่อรองเจรจา เพราะพวกเราเป็นประเทศกำลังพัฒนา วันนี้ที่มองว่าเศรษฐกิจดี เอาเงินไปใช้จ่าย ต้องถามว่าเงินเหล่านั้นมาอย่างไร มาถูกหรือผิด ถ้าเริ่มจากสิ่งที่ผิดก็จะเป็นแบบที่ผ่านมา วันนี้รัฐบาลจัดระเบียบทุกอย่าง แน่นอนอาจทำให้ประชาชนเดือดร้อน เพราะหาเงินไม่ได้ง่ายแบบเดิม สิ่งเหล่านี้ต้องสร้างความเข้าใจ ฝ่ายเศรษฐกิจกำลังแก้ทั้งหมด โดยมองไปข้างหน้าอีก 20 ปี ต้องการให้ประเทศไทยเป็นอย่างไร หรือจะเป็น 83 ปี ที่ผ่านมาจากการมีประชาธิปไตย และคงปฏิเสธไม่ได้ เราจะต้องมีประชาธิปไตย

สำหรับเรื่องการปฏิรูปที่ผ่านมา รัฐบาลได้เริ่มทำมาแล้วตั้งแต่ปีแรก จากนี้เหลือเวลา 1 ปี 6 เดือน นับจากเดือน ม.ค. 2559 ถึง ก.ค.ปี 2560 เราจะวางพื้นฐานในสิ่งที่เรายังไม่ทำ และทำต่อเนื่อง อันไหนที่ทำไม่ทันทำไม่ได้ ก็ใส่ไปในแผนปฏิรูป ฉะนั้นวันนี้ต้องเข้าใจตรงกันว่าการปฏิรูประยะที่ 1 เราได้ทำมาแล้ว เพียงแต่บางท่านไม่สนใจมองแต่เรื่องเศรษฐกิจมีเงินจ่ายใช้สอย มองตัวเลขเศรษฐกิจโลก รายได้ประเทศหายไปก็จริง ต้องคิดว่าหายไปเพราะอะไร แต่วันนี้สิ่งที่กลับมาคือรายได้จากการท่องเที่ยวทำไมไม่ดูรายละเอียดเหล่านี้กันบ้าง

“สื่อต่างๆ กรุณาทำความเข้าใจกันด้วย ต้องคิดให้ซับซ้อนกว่าเดิม ต้องปฏิรูปการทำงานใหม่ รัฐบาลทุกรัฐบาลน่าจะต้องคิดแบบผม ไม่รู้ผิดรู้ถูก ในห้องนี้มีใครจะเป็นนายกฯคนต่อไปหรือไม่ ถ้าทำไม่สำเร็จท่านก็อยู่ไม่ได้ ผมบอกไว้เลย ทั้งซ้ายขวา ที่อยู่ตรงนี้คือผู้ร่วมรับผิดชอบในการทำงาน การปฏิรูปประเทศไทยจะสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่คนในนี้และประชาชน ทุกระดับ”

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ถ้าเรามองเพียงว่าประชาธิปไตยจะต้องมีการเลือกตั้ง มีสิทธิเสรีภาพแบบไร้ขีดจำกัด มันคงทำไม่ได้ กฎหมายทั้งกฎอัยการศึก และมาตรา 44 เขียนไว้ล่วงหน้าแล้วว่าอย่าทำแบบนี้เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูป ท่านก็ยังทำเสร็จแล้วก็กลายเป็นว่าตนไปละเมิดสิทธิมนุษยชน ตนถามว่าที่ทำกันมา ต่อต้านกฎหมายที่ออกไปแล้ว แม้จะออกกเพราะเรากำลังปฏิรูป ถ้าเป็นปกติ ตนคงไม่ต้องมายืนตรงนี้ ก็เดินไปโดยใช้รัฐธรรมนูญเดิม แล้วที่ผ่านมาเคารพกันไหม ต้องไปดูตรงนู้น อย่ามามองเรื่องสิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน จนกระทบสิทธิเสรีภาพคนอื่น อย่าลืมว่าคนที่มีปัญหาออกมาทั้งหมดมันก็ส่วนหนึ่ง อาจจะมากบ้างน้อยบ้าง มันก็แล้วแต่ ตนไม่ว่าใครผิดใครถูก แต่ใครใช้อาวุธถือว่าผิด

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ถ้าเราช่วยกันอธิบายให้สื่อ โซเชี่ยลมีเดีย และต่างประเทศเข้าใจ ก็จะจบปัญหาบางปัญหาไปได้ ไม่เช่นนั้นตนก็โดนภายในประเทศเร่งรัดให้เสร็จเร็ว และรีบเลือกตั้ง ต่างประเทศก็กดดันตนมา มองว่าเป็นรัฐบาลที่มาแบบไม่ชอบธรรม ซึ่งก็มีคนบางคนไปพูดจาให้ร้าย บิดเบือนข้อเท็จจริง มีเพียงไม่กี่คนเขียนและส่งทางโซเชี่ยลมีเดีย และส่งต่อๆกัน

“คนเหล่านี้มีไม่มาก 1. เป็นพวกป่วยทางจิต 2. เอาชนะและเก่งในโซเชียลฯ ได้รับความนิยม ผมว่ามันทำลายประเทศนะ รวมถึงการนำเรื่องทุจริต ไปฟ้องรัฐบาลต่างชาติมาแก้ปัญหา แล้วเราทำไมแก้กันเองไม่ได้ คนเจ็ดสิบล้านคนแก้กันเองไม่ได้เหรอ ถ้าแก้ไม่ได้ วันข้างหน้าก็ไม่ต้องมีรัฐบาล ไม่ต้องมีนักการเมือง อยู่กันไปรบกันไป สิทธิเสรีภาพเต็มที่ อยากทำอะไรก็ทำ ถึงเวลาก็ให้ต่างประเทศเข้ามาแก้ปัญหาให้จะเอาอย่างนั้นหรือ ตนไม่ปฏิเสธคำว่าประชาธิปไตย ถ้าจะมีการเลือกตั้งก็ต้องเลือกตั้ง ฉะนั้นสื่อต่างๆ กรุณาคิดอย่างที่ผมคิดด้วย อย่าสร้างอย่าขยายความจัดแย้ง อย่าเอาเรื่องที่เป็นปัญหาขยายออกไปอีก คนกำลังทำ กับคนที่ทำลาย สื่อจะเสนอให้ใคร ไม่ใช่จะบอกว่าเสนอข้อเท็จจริงทั้งหมด ข้อเท็จจริงคือปากคนพูดแล้วสื่อเช็คหรือเปล่า ว่าจริงหรือไม่กับสิ่งที่เขาพูด ผมพร้อมตอบคำถามทุกอัน รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง ตอบได้หมด ไอ้คนที่พูดข้างนอกและสื่อไปขยายให้เขา ขอถามว่าข้อเท็จจริงอยู่ที่ไหน สื่อต้องฟังและเข้าใจปัญหาให้ลึกซึ้ง เข้าใจว่าสิ่งที่ผมพูดมาคืออะไร ผมพูดมาสองปีก็เบื่อตัวเองเหมือนกัน วันนี้ต้องเข้าใจ”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาป่าไม้ว่า สำหรับประชาชนที่ใช้พื้นที่ป่าไม้สำหรับใช้สอยเราก็ไม่สามารถไล่ประชาชนให้ไปอยู่ที่อื่นได้ เราก็ต้องทำให้เป็นป่าชุมชน ป่าเศรษฐกิจที่อยู่อาศัยพร้อมกับการปลุกป่าเพิ่มขึ้น ให้คนอยู่ร่วมกับป่า ส่วนกลุ่มพีมูฟที่เดินทางเคลื่อนไหวที่ จ.เชียงใหม่นั้น ขอให้กลับไปที่จังหวัดตัวเอง อย่าเดินทางมา เสียเวลาเปล่า ท่านอยู่ไหนก็อยู่ไปก่อนไม่ได้จะเอาคืนเพียงแค่ต้องการจัดระเบียบใหม่ และขณะนี้มีการขอใช้อำนาจขอผู้ว่าราชการจังหวัด ขอใช้พื้นที่เพื่อให้ประชาชนอยู่ทำกินไปก่อน แล้วค่อยไปจัดระเบียบว่าจะจัดโซนนิ่งอย่างไร ในเรื่องการเกษตรถ้าทุกคนเรียกร้องจะเอาโฉนดพอให้ไปแล้วก็เอาไปขาย แล้วก็ไปบุกป่าต่อ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นทุกคนต้องยอมรับกติกา

สำหรับปัญหาน้ำปีนี้เขาเตือนมาแล้วว่าฝนจะตกใต้เขื่อนมากขึ้นจึงไม่สามารถเก็บน้ำได้ ซึ่งขณะนี้กำลังหาทางว่าจะเอาน้ำจากประเทศเพื่อบ้านมาใช้อย่างไรจึงต้องมีการแลกเปลี่ยน และผลประโยชน์ที่เท่าเทียม แลกน้ำแลกไฟต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จะทะเลาะกันไม่ได้ มนุษย์ชอบเอาความขัดแย้งมาพูดกันก่อนไม่ว่าจะทำกิจกรรมใดๆ ก็ตาม แม้แต่ภาคประชาสังคมแม้จะทำอีไอเอ เอสไอเอ หากมีความขัดแย้งกันเกิดขึ้นก็ทำไม่ได้ ทำอะไรใหม่ไม่ได้เพราะทุกคนต่อต้านทุกเรื่อง แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ทุกอย่างไม่ได้อะไรมาเปล่าๆ ฟรีๆ

“วันนี้หากเราต้องการปฏิรูปก็ต้องเสียคำว่าประชาธิปไตย ท่านไม่ได้เสียแต่ผมเสีย หาผมทำให้ประเทศเสียหาย ท่านก็ต้องเสียด้วยผมก็ต้องขอโทษ ต้องขอโทษที่เข้ามาเอง แต่ผมก็จะใช้เวลาอยู่ให้ได้ นโยบายการปฏิบัติขับเคลื่อนก็ว่าไป ตรวจสอบการทุจริตก็ว่าไป ถ้าทนไม่ไหวก็เอาเข้ากระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ออกมาพูดอย่างนี้ทุกวัน ไปหามาหลักฐานฟ้องร้องทุกข์กล่าวโทษ เขามีกลไกในการทำงานอยู่แล้ว ไม่ใช่ไปขยายว่าผิดก็ทะเลาะกันอยู่แบบนี้ แล้วเข้ากระบวนการยุติธรรมหรือยัง แม้กระทั่งโครงการต่างๆ ของรัฐบาลผมก็ยังไม่อยากพูดถึงเพราะเรื่องยังไม่จบ ทำให้มันจบเสียจะได้ชัดเจนขึ้นว่าใช่หรือไม่ใช่ ให้มีโอกาสในการต่อสู้ ในการฟ้องศาล ผมก็ทำหน้าที่ของผมคือเอาเข้ากระบวนการยุติธรรม แล้วจะเอาอย่างไรกันอีก จะให้ใช่อำนาจเอามาตรา 44 เรียกมาประหารชีวิตเลยหรือ ทันใจไหมถ้าทำแบบนี้ เราทำแบบเดิมไม่ได้ ไม่ต้องกลัวเสียของ ถ้ากลัวเสียของก็ไม่ได้ทำ ที่ทำทั้งหมดยังกลัวเสียของอีก แล้วจะให้ทำอย่างไรอีกเล่า

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ คสช.มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย ตนไม่อยากให้ทุกคนเข้าใจผิดว่า คสช.มีพิมพ์เขียวโน่นนี่นั่น เพราะรัฐบาลไม่มีพิมพ์เขียวอะไรเลย ก็ในเมื่อประเทศต้องการระดมความคิดเห็น เมื่อ กอ.รมน. กองทัพเขาเสนอเข้ามาก็เอาไปรวบรวมเท่านั้น ท่านจะเอาอันไหนก็เอา ไม่เอาก็คัดออกเพราะเป็นการรับฟังความคิดเห็น แต่ทำไมคนบางคนไม่เสนอความเห็นแบบนี้เข้ามา ไปพูดข้างนอกพูดให้สื่อขยายความไปเรื่อยจนถึงต่างประเทศ มันก็ล้มเหลวทั้งหมด กรุณาเข้าช่องทางด้วยไม่ว่าจะคณะไหนก็ตาม ฉะนั้น วันนี้หน้าที่ของแม่น้ำ 5 สายต้องต่อเนื่องเชื่อมโยงกันในระยะที่ 1 ส่วนที้เหลือสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็ต้องทำ ทำให้การเมือง 20 ปีข้างหน้าแข็งแรง และเมื่อแข็งแรงก็เปลี่ยนแปลงได้อีก ฉะนั้นจะต้องมีช่วงหนึ่งในการเปลี่ยนผ่าน มีความแตกต่างไม่ใช่บอกว่าตนมาสืบทอดอำนาจ ขนาดตนอยู่อย่างนี้ยังทำไม่ได้เลยแล้วจะเอายังไง จะต้องการอิสระเสรีทุกอย่าง ประชาธิปไตยในโลก แล้วปฏิรูปจะทำได้ไหม อย่างประเทศเวียดนามที่เขามีการปกครองสองระบบ แล้วเขามีอำนาจเต็มหรือไม่ มีการต่อต้านหรือไม่ มีการใช้กำลังกันหรือเปล่าไปคิดแบบนี้แล้วเขาทำได้ไหมก็ทำได้ ส่วนของเราแตะต้องกันไม่ได้ แล้วเอาต่างประเทศมากดดันตนแทน

“แม่น้ำ 5 สายต้องทำงานร่วมกันประชารัฐ ต้องรับฟังความเห็นที่เป็นเจตนาที่บริสุทธิ์ถ้าไม่บริสุทธิ์ฟังแล้วจะเป็นแบบตนคือฟังแล้วหงุดหงิดอารมณ์เสีย แต่ต้องฟังเพราะเดี๋ยวจะหาว่าไม่ยอมฟัง ฉะนั้นจะเป็นจ่าหรือหมู่ที่ไหนก็ฟังหมด รู้จักจ่าไหม ก็จ่าโอ จ่านิวไง ไม่รู้จักเหรอ”

นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ต้องปรับปรุงกฎหมายที่ไม่เคยออกหรือไม่ทันสมัย ปรับปรุงกฎหมายเอกชน มหาชน ต่างประเทศ สนธิสัญญาเจนีวา ทั้งหมดจะต้องออกกฎหมายให้สอดคล้องจะได้มีวิธิการปฏิบัติที่ถูกต้องอย่างกรณีคนหลบหนีเข้าเมืองก็ต้องส่งเขากลับประเทศต้นทาง แต่ถ้าไม่มีกฎหมายเราจะทำได้อย่างไร ในหลายประเทศเขามีกฎหมายในการการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนในประเทศที่เขาต้องการไป หากว่าประเทศต้นทางนั้นมันตรายนั่นคือกฎหมายที่เขาออกใหม่ ตนก็กำลังให้เขาพิจารณาอยู่ว่ามันควรหรือไม่ควรทำได้หรือไม่ได้ วันนี้ทุกเรื่องอยู่ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) หมด ถ้ากลับไม่ได้ก็ไม่ต้องส่งกลับดีไหม อีกหน่อยก็จะกลายเป็นแหล่งซ่องสุม มันต้องมีกระบวนการทั้งหมด อย่างการอพยพแบบไม่ปกติก็อยู่ในกระบสนการค้ามนุษย์ทั้งสิ้น มีเจ้าหน้าที่และข้าราชการที่เลวๆไปเกี่ยวข้อง ก็ต้องไปว่ากันมาเข้ากระบวนการ อย่าบอกว่าทหารไม่ผิดเพราะก็มีทหารที่ติดคุกอยู่ยศพลโทก็ยังติด ไม่มีประกันตัวสักคน ตำรวจก็ไม่ให้ประกันตัว จะไม่มีการประกันตัวเรื่องคดีค้ามนุษย์ ตนทำขนาดนี้แล้วท่านจะเอาอะไรอีก อย่าพูดแบบไร้เหตุผล

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การออกกฎหมายของ สนช.รับมาจากกระทรวง ซึ่งกระทรวงจะดูปัญหาว่ามีอะไรบ้างเพื่อส่งให้สำนักงานกฤษฎีกาพิจารณาความถูกต้องแล้วนำเข้าคณะรัฐมนตรีพิจารณา ถ้าเห็นชอบก็ส่งกลับไปสนช.แล้วสนช.ก็จะตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณา 3 วาระ ท่านก็ไปเถียงกันตรงโน้น ท่านจะมาด่ารัฐบาล ด่ากระทรวง ด่ากฤษฎีกามันใช่ไหม หลายเรื่องคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ตีกลับให้ไปพิจารณาใหม่แล้วก็ส่งกลับมา สรุปก็ออกกฎหมายไม่ได้ ท่านก็ไปเติมแต่อย่าทิ้งกฎหมายเดิม ดูว่าเจตนารมณ์ดูว่าการออกกฎหมายฉบับนี้เพื่ออะไร แล้วไปดูว่าจะทำให้เกิดความร่วมมืออย่างไรก็เจ้าหน้าที่และประชาชนเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง การออกกฎหมายถ้ายิ่งออกแรงยิ่งอันตราย ถ้าจะให้ปฏิรูปแล้วมีการลงโทษสถานหนัก ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุก็จะตีกันอยู่อย่างนั้นเพราะคนรับไม่ได้เราต้องรับฟังจากทุกฝ่าย อย่างสื่อตนก็รับฟัง อันไหนถูกหรือใช้ได้ก็ไปพูดให้ ครม.ฟังแล้วมาปรับแก้ไขแล้วส่งต่อให้ปลัดกระทรวงทราบว่าต้องแก้ไขอะไร สิ่งนี้เรียกว่าการปฏิรูป มันต้องใช้ทั้งรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ และเชิงรุกทุกส่วนต้องช่วยกันไม่ใช่แค่ตนหรือรองนายกฯเท่านั้น ตนสั่งตลอดอยากได้อะไรให้เสนอมา ถ้าทำได้ก็จะทำให้แต่ถ้าเมื่อไหร่ตนสั่งไปก็ต้องทำข้าราชการก็ต้องไปหาสิ่งที่ถูกต้องมาให้ตน ไม่ใช่ทั้งหมดกลับมาที่ตนและรองนายกฯ หมด แล้วจะมีไว้ทำไม ก็ไม่ต้องมี ตนสั่งแบบทหารก้ได้ใครไม่ทำก็ถูกลงโทษ แต่ตนไม่ต้องการอย่างนั้น

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า หลายประเทศปฏิรูปหลายยังไม่เสร็จ แต่ไทยปีเดียวก็ถามว่าเสร็จหรือยัง เคยคิดบ้างไหมว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นมีอะไรที่สำเร็จในปีเดียว แค่จัดระเบียบการค้าขาย ย้ายคนออกจากคลอง เอาคนขึ้นตึกก็วางแผนไว้ตั้ง 20 ปี วันนี้ก็ทำตามการปฏิรูปยุทธศาสตร์ 20 ปีและให้มีการเดินตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจทุกๆ 5 ปีไปจนถึงปี 2579 ทั้งหมด 20 แผน รัฐบาลใหม่เข้ามาหากทำตามแผนนี้ก็จะเกิดความต่อเนื่อง ดูแลคน 70 ล้านคนได้ไม่ใช่ดูแลแค่คนในพรรค หรือตามคะแนนเสียงเลือกตั้ง หน้าที่ของส.ส.คือการเสนอว่าทุกภาคต้องการอะไร แล้วรัฐบาลก็มีหน้าที่ภาคความสมดุลไม่ใช่ทำแต่เฉพาะจุดใดจุดหนึ่งคนก็ตีกันอยู่อย่างนี้ ทั้งนี้ การปฏิรูประบบราชการเราจะทำอย่างไรให้มีการเลื่อนยศหรือตำแหน่งที่ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ควรจะมีกรรมการเหมือนพระราชบัญญัติกลาโหมหรือไม่ เพราะเราต้องดูแลเขาเนื่องจากเขาถืออำนาจบริหารของรัฐบาล

“ขอร้องนักการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐบาลให้ทบทวนบทบาทและรับผิดชอบแก้ไขการบริหารประเทศใหม่ นโยบายการหาเสียงควรที่จะหาเสียงอย่างไร จะให้เงินเดือน 20,000 บาท เพราะ 15,000 บาทไม่พอแล้วเขาจะเลือกท่านเข้ามาหรือ ท่านต้องบอกว่าท่านจะปฏิรูปประเทศอย่างไร ใช้งบอย่างไร จะใช้เวลา 4 ปีในการบริหารประเทศอย่างไร ต้องหาเสียงแบบนี้ ถ้าหาเสียงแบบนี้คนที่มีรายได้น้อยเขาก็จะเลือกหมด อย่าคิดแบบที่เราคิด ถ้าเราคิดแบบนี้เราจะลืมนึกถึงคนเหล่านั้น แล้วก็จะมาบอกว่าแก้ไขอะไรไม่ได้ มันอยู่ที่ท่าน ที่ต้องเข้ากระบวนการประชาธิปไตย สร้างความมั่นคง เคารพกฎหมาย ดึงทุกส่วนร่วมมือกันทำงานประชารัฐให้ได้ ถ้าท่านบอกว่าไม่ชอบนักการเมือง ไม่ชอบเลือกตั้งแล้วไม่ไปเลือกตั้ง แล้วใครจะเป็นคนเลือก ทุกคนต้องไปใช้สิทธิ จะไปเลือกใครหรือไม่เลือกใครก็ได้นั่นคือการใช้ประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ถ้าไม่ไปเลือกตั้งก็จะได้แบบเดิม ประชาธิปไตยที่ประสบความสำเร็จคือการไปใช้สิทธิลงประชามติกับการเลือกตั้ง ถ้าไม่ทำตรงนี้ก็เป็นการทิ้งประชาธิปไตย ถ้าให้คนบางกลุ่มเลือกเข้ามาก็จะได้คนบางกลุ่มขึ้นมาเป็นแล้วก็ดูแลบางพื้นที่ไม่เกิดความเชื่อมโยง ไม่เกิดอำนาจประเทศในภาพรวม

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เศรษฐกิจต้องแข้มแข็ง ต้องเพิ่มขีดความสามารถสร้างความแข้มแข็ง และต้องแก้กฎหมายไปด้วย พันธสัญญา กฎหมายสากล กฎหมายการค้า กฎหมายการลงทุน ทั้งหมดต้องแก้หมด ดังนั้นเอกชนและธุรกิจวันนี้ต้องช่วยรัฐบาล มีคณะกรรมาธิการร่วม คณะที่ปรึกษาร่วม ที่เรียกมาไม่ใช่เรียกมาเพื่อที่รัฐบาลจะเอื้อประโยชน์ ตนไม่ได้ให้เขาสักอย่างที่เรียกมา ที่มานั่งประชุมกัน ไม่เคยไปคุยใต้โต๊ะ เรียกมาเพื่อคุยปัญหา คุยเรื่องการช่วยเหลือ เรื่องการค้าการลงทุน การนำสินค้าไปขาย ไปต่อยอดการลงทุน เราคุยกันแบบนี้ ทุกคนมองหมดว่าทุจริต หาประโยชน์ส่วนตัว ตนจะหาไปทำไม ทุกคนไม่เห็นมีใครอยากได้อะไรทั้งสิ้น ถ้าอยากได้ไม่ต้องมา ไปเป็นนักการเมือง แต่เขาจำเป็นเพราะมีนโยบายพรรค ต้องไปดูแลในเรื่องกฎหมาย

“เรื่องการบริจาคเงินให้พรรคการเมือง ว่าจะทำยังไง บางคนไม่ให้ 300 บาทยังไม่ให้เลย ก็ให้ไปซิ ท่านชอบพรรคไหนก็ให้ไป 100 200 มันจะได้เป็นรูปเป็นร่างซักที เพราะฉะนั้นผลประโยชน์ตกอยู่กับประชาชน ตกอยู่กับรัฐ รายได้เข้าประเทศ วันนี้รายจ่ายบางคนบอกว่าทำไมไม่ทำงบประมาณสมดุล ก็มันหาได้หรือไม่เงินตรงนี้ หาไม่ได้ก็ต้องขาดทุนอยู่อย่างนี้ เมื่อ 30 ปีที่แล้วมีการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย มีการร่วมมือกับประเทศอื่นๆ จากนั้นจนวันนี้ทุกคนช่วยตัวเองกันมาหมด มันต้องวางแผนปฎิรูปเศรษฐกิจใหม่ ครั้งนี้ 20 ปี ต้องปรับเศรษฐกิจใหม่ทั้งหมด วันนี้ฝ่ายเศรษฐกิจ ฝ่ายความมั่นคงกำลังทำอยู่ การส่งออก การเพิ่มมูลค่า การเชื่อมโยงเราอาจจะเป็นการผลิตและนำไปแปรรูปที่เขา ให้เกิดความเชื่อมโยงมันต้องคิดอย่างนี้ และลงมาสู่ชุมชนประชาชนประชารัฐข้างล่าง ถ้าเข้มแข็งจากภายในประชาชนทุกคนจะมีความสุข” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า “ระบบการเงิน การคลัง ภาษี งบประมาณ ทำใหม่ทั้งหมด ทำงบประมาณบูรณาการ ก่อนงบประมาณไม่ใช่ทำไปแล้วให้กรรมาธิการมาตัดห้ามเซ็น ตัดอะไรห้ามเซ็น ผมทรมานมาหลายปีแล้ว ขอตัด 5 เปอร์เซ็นต์ 15 เปอร์เซ็นต์ ตัดจากอะไร เหมือนกับบางทีท่านต้องฝึกคนกองร้อยนึง แต่ฝึกจากกองร้อยเหลือหมวดหนึ่งได้หรือไม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาต้องการอะไร เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ อำนาจการทำงบประมาณทุกกระทรวงต้องหารือกันก่อน ก่อนจะเสนอแผนการจัดทำงบประมาณประจำปี ไม่อย่างนั้นแต่ละกระทรวงทำก็มีงบประจำ งบลงทุน และงบประมาณก็มาดูว่ารายละเอียดว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง คราวหน้าไม่ได้ ต้องเอานโยบายเร่งด่วน หรือแผนปฎิรูปหรือยุทธศาสตร์ชาติมาดูว่าจะทำอะไรร่วมกันตรงนี้ มันจะได้เกิดขึ้นและจับต้องได้ ถามว่าถ้าเราทำอย่างนี้ไม่ต้องไปไล่จับผิดจับถูกเขาทีหลัง ถ้าอย่างนี้ก็ไม่มีใครอยากมา”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ตนถามว่าคนดีๆ คนเก่ง จะมาเป็นนักการเมืองหรือไม่ ที่ไม่เป็นเพราะ 1. ต้องเอาสมบัติไปแฉข้างนอกทั้งหมด 2. ต้องลาออกจากบริษัท เขาอยากมาหรือไม่ ซึ่งต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้คนเหล่านี้จะเข้ามาได้ การเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยไม่ต่างกัน แต่ถ้าเปิดเผยก็เปิดให้คนด่า ถ้าเขาไม่ผิดก็สอบอีกว่ารวยมาจากไหน ไปดูบัญชีไปว่าถ้าผิดก็ล้วงออกมา ดูภาษีย้อนหลัง เอามาแผ่ให้คนด่ากันไปกันมา แล้วได้อะไรหรือไม่ ไม่ได้อะไรสักอย่าง และลงโทษเขาได้หรือไม่ ไม่ได้อีก ไปดูผลงานเขา ไปฟ้องศาล ฟ้องให้เร็ว ตัดสินให้เร็ว ไม่ใช่ว่าฟ้องแล้วรอ เหมือนกรณีทุจริตคลองด่าน ทำต่อไม่ได้ ก็แก้ไปแล้วทำต่อจะได้มีคลองด่านใช้ วันนี้ต้องเสียเงินค่าโง่เขาไปอีก ไม่เสียได้หรือไม่ก็ศาลเขาตัดสิน บางคนบอกว่าจะชะลอได้ไหม เดี๋ยวใครบอกให้ชะลอมาร้องเรียนกับตน แล้วไปรวมกันที่ศาลว่าเขาจะตัดสินใหม่หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องของตนที่ทำเรื่องเหล่านี้มาเลย ทำอย่างไรให้ยุติให้ได้ หลายเรื่องอย่างคิดว่าเราคิดแล้วถูก มันตัดสินด้วยศาล เรื่องที่ตัดสินไปแล้วว่าผิด เราก็พยายามต่อสู้ๆ ต่อสู้ไปสุดท้ายจะชนะหรือเปล่ายังไม่รู้ อย่ามองความรู้สึกอย่างเดียว ท่านต้องเอากฎหมายมาพูด

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องสาธารณะสุข สังคมสูงวัยการรักษาพยาบาล วันนี้ก็รู้อยู่ว่าดีหรือไม่ดีสำหรับคนจน งบประมาณสูงขึ้นทุกปี ผู้สูงอายุมากขึ้นแต่ทุกคนต้องการเบี้ยสูงอายุมากขึ้น ทำอย่างไรที่จะจ่ายให้ถึงตัว ไม่ใช่เสียค่ารถเดินทางมา 300 บาท มารับเงิน 500 บาท ถ้าเขาไม่มามันก็เป็นเหยื่อของพวกนี้ก็ไปเรื่องทุจริตอีก การพัฒนาระบบการศึกษาไม่ใช่เฉพาะหลักสูตรเพียงอย่างเดียว นักเรียน โรงเรียน วันนี้งบการศึกษาใช้มากที่สุด ระดับสองรองจากสาธารณะสุข เพราะว่ามี 30 บาท สุดยอด แต่รายได้ไม่มี ศึกษาฟรีอีก 12 ปี เอาเงินตรงไหน ใช้เงินเท่าไหร่ 2 กระทรวงใช้เป็นล้าน งบประมาณมี 2 ล้านกว่า แล้วถามว่าผลการศึกษาเป็นอย่างไร ไม่ต้องอายครูปลัดกระทรวงไม่ต้องอาย ต้องยอมรับที่เขาประเมินมา เขาประเมินมาตลอดทุกปี แต่คิดใหม่ไม่ยอมเอาเขามาดู เหมือนที่ไอยูยูการค้ามนุษย์ ที่มีอยู่10 ข้อ ไม่แก้จะคิดของใหม่ ถ้าแก้ตรงนั้นจะดีกว่านี้ตั้งนานแล้ว ไม่รู้จะพิมพ์กันทำไม เอามาประกอบการประชุมรายปีหรือ เขามีหมดแล้วข้อมูลในนั้น ซึ่งเป็นข้อมูลบริหาร ท่านไม่ต้องอ่านของกระทรวงตัวเอง แต่ไปอ่านของกระทรวงอื่น ในเรื่องการการค้าต่างประเทศ ให้ไปดูในเรื่องของเอสเอ็มอี ที่มีการสรุปรายปี จะได้ดูว่าเรื่องใดมีโอกาสเรื่องใดมีศักยภาพ ไม่ใช่จะไปสร้างแล้วก็ขายเอาปริมาณเข้าว่า ตนไม่ต้องการขายข้าวปีละสิบล้านเป็นอันดับหนึ่ง แต่ต้องการขายข้าวให้รายได้เป็นอันดับหนึ่งของโลก ให้ไปทำกันกันมาได้เท่าไรไม่รู้

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ทั้งหมดนี้คือรูปแบบประชาธิปไตย ที่เราจะเตรียมการเลือกตั้งในวันข้างหน้า ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ทำอะไรก็แล้วแต่อย่านึกถึงแต่ตัวเอง อย่านึกถึงแต่กระทรวง อย่านึกถึงแต่ข้าราชการ ให้นึกถึงว่าประชาชนจะได้อะไรเป็นเป้าหมายสุดท้าย และย้อนกลับมาว่าเราจะดูเขาอย่างไร จะได้ไม่เกิดความขัดแย้ง อย่าเอาอำนาจไว้ทีตัวเองทั้งหมด แต่ต้องเป็นอำนาจในการบูรณาการ วันนี้ทีเราทำกันคือการวางแผนระยะยาว แต่ไม่ได้ทำทั้งหมด เพราะว่าเงินไม่พอ แต่ต้องแก้ปัญหาคามความเดือดร้อน ตามความเร่งด่วน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า วันนี้ทักคนเข้าใจดีว่าปฏิรูปคือการปฏิรูป แต่สิทธิเสรีภาพ สิทธิสื่อมวลชนอยู่ตรงไหน ถ้าขัดแย้งกันหมดทุกอย่างก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ การที่มาเร่งให้ตนปฏิรูปให้เสร็จภายใน 1 ปี ไม่สามารถทำได้ เพราะตนอยู่นานกว่าโรดแมปไม่ได้ จึงต้องกำหนดกรอบยุทธศาสตร์ไว้ภายใน 20 ปี ดังนั้นนักการเมืองที่จะเข้ามาควรกำหนดนโยบายการหาเสียง และบอกว่าจะปฏิรูปประเทศไปอย่างไร แต่หากหาเสียงแบบเดิมก็จะมีแต่คนรายได้น้อยมาเลือก เพราะเขาต้องการเงินไปเลี้ยงครอบครัว ส่วนคนที่มีรายได้ปานกลางก็ต้องเข้ากระบวนการประชาธิปไตยเช่นกัน ถ้าบอกว่าไม่ชอบนักการเมือง ไม่ชอบการเลือกตั้งจึงไม่ออกมาเลือกตั้งจะทำให้เสียงของคนที่อยากมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า ทุกคนต้องใช้ประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง คือต้องออกมาลงประชามติและการเลือกตั้ง ไม่เช่นนั้นก็จะมีคนเพียงบางกลุ่มมาเลือกคนของตัวเอง ไม่เกิดการเชื่อมโยงจนเกิดปัญหาแบบเดิมขึ้นอีก ส่วนข้อเสนอของหลายภาคส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งที่ให้ระบุตัวแทนพรรคที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีและนโยบายพรรคลงในบัตรเลือกตั้งจะต้องดูว่าทำได้หรือไม่ แต่ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนให้ชัดเจน

“การทำประชามติผ่านไม่ผ่านตนก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว และขอให้ทุกคนไปออกเสียงประชามติด้วย ใครไม่เลือกจะได้เสียภาษีมากขึ้น พูดเล่นนะพูดเล่น เพราะ พอพูดแบบนี้ก็หาว่าตนใช้อำนาจ ละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นปีแล้วที่ตนพูดเล่นไม่ได้ เพราะสื่อเอาไปเป็นข่าวหมด” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อถึงปัญหามนุษย์ว่า ต้องดำเนินการกับหัวโจกที่ทำผิดกฎหมายให้หมด ทั้งบนบกและในน้ำ ส่วนเจ้าหน้าที่ตนไม่ได้โทษใครทำเต็มที่แล้ว ขอให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันทำงาน เราจะต้องแก้ไขปัญหาไอยูยูให้ได้ เพราะเหลือเวลาอีก 20 วัน ขอให้แก้ไขให้ได้ โดยจะต้องรายงานให้ครบ อย่าปกปิด เพราะจะได้จบๆ ไป ซึ่งในวันที่ 20 ม.ค. 2559 ก็จะเป็นการชี้ชะตาว่าไทยจะได้ใบแดงหรือใบเหลือง

พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงการจัดทำงบประมาณประจำปีต้องปรับปรุงโดยต้องหารือหน่วยงานก่อนที่จะจัดทำโดนเน้นนโยบายเร่งด่วนก่อน ที่ผ่านมาตนทรมานมาหลายปีเพราะมีการตัดงบ 5% เหมือนการฝึกกองร้อย แล้วมาฝึก 5 คนจะเพียงพอหรือไม่ ต่อไปนี้ขอให้ไม่เป็นแบบนี้อีก ขอให้หารือให้รอบคอบก่อน ในส่วนของงบประมาณกระทรวงสาธารณสุขมากที่สุด มีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคเป็นโครงการที่สุดยอด แต่รายได้ไม่มี ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการใช้งบประมาณเป็นอันดับ 2 แต่ผลการศึกษายังอยู่อันดับที่ 46 เหนือกว่าเมียนมาแค่ 8 อันดับ ครูหรือปลัดกระทรวงไม่ต้องอาย แต่ต้องแก้ไขใหม่หรือคิดใหม่

ทั้งนี้ผลงานของแต่ละกระทรวงจะมีการแถลงอย่างละเอียดผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 23 ธ.ค. 2558 ถึง 13 ม.ค. 2559 โดยจะเว้นวันศุกร์ที่จะมีรายการคืนความสุขให้คนในชาติ โดยเรียงตามตัวอักษรที่จะเริ่มจากกระทรวงกลาโหม และสิ้นสุดที่กระทรวงอุตสาหกรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แถลงการดำเนินงานของรัฐบาลในส่วนกฎหมายอยู่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ขออนุญาตให้นายวิษณุหยุดพูดก่อน โดยนายกฯ กล่าวว่า ตนขอพูดอีกหน่อยเนื่องจากตนมีภารกิจเข้าเฝ้าฯ รับเสด็จ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในพิธีสมโภชพระพุทธเมตตาประชาไทไตรโลกนาถคันธาราราฐอนุสรณ์ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ณ วัดทิพย์สุคนธาราม จ.กาญจนบุรี พร้อมกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และขอให้ พล.อ.อนุพงษ์พูดก่อน ตนอยากให้ทุกคนอยู่ให้ครบ ถ้าไม่ติดภารกิจ















กำลังโหลดความคิดเห็น