เมืองไทย 360 องศา
กลายเป็นว่าเวลานี้เรื่อง"ค่าหัวคิว"ในโครงการอุทยานราชภักดิ์ เป็นเรื่อง"ขี้ปาก"ขยายวงออกไปแบบที่ต้องจำเป็นบทเรียนของฝ่ายรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงว่าอย่า"ดูเบา"กับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบเป็นอันขาด เพราะเรื่องแบบนี้มัน"อ่อนไหว"และพังกันมานักต่อนักแล้ว
เรื่องดังกล่าวก็เช่นเดียวกันเริ่มจากจุดเล็กๆ หากจัดการให้เด็ดขาดในแบบโปร่งใส ให้เคลียร์ในสายตาชาวบ้านให้เห็นว่าไม่ว่าใครหากทำผิดก็ต้องถูกตรวจสอบลงโทษไม่มีข้อยกเว้น ไม่ใช่ลักษณะแสดงออกให้เห็นว่า "ปิดบัง" หรือปกป้อง แม้ว่าในความเป็นจริงอาจจะตรงกันข้ามก็ได้ แต่ท่าทีก่อนหน้านี้ยืนยันหนักแน่นว่า "ไม่โกง ไม่มีทุจริต"แต่ห้ามคนภายนอกเข้าไปตรวจสอบ มันก็ยิ่งกลายเป็นขี้ปาก นำไปพูดจาขยายผล
แน่นอนว่าย่อมต้องกลายเป็น"เงื่อนไข"ของฝ่ายตรงข้ามซึ่งในที่นี้ก็คือ ฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร ที่คอยแอบอยู่ในมุมมืด มุมสว่างได้จังหวะกระหน่ำแทงแบบไม่ยั้งอยู่แล้ว ซึ่งมองอีกมุมหนึ่งมันก็ช่วยไม่ได้เพราะมีการ"เปิดช่อง"ให้เขาเอง
เริ่มจากคำพูดแบบซื่อๆของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ตอบคำถามสื่อโดยยอมรับว่ามีเซียนพระคนหนึ่งไปเรียกค่าหัวคิวจากโรงหล่อ แต่ก็มีการเคลียร์มีการนำเงินส่วนต่างสมทบในเงินบริจาคเพื่อจัดสร้างอุทยานฯ โดยเรื่องจบไปแล้วดัวยความบริสุทธิ์ และยังเปิดเผยอีกว่าได้มอบหมายให้อดีตพันเอก คชาชาต บุญดี เข้าไปเคลียร์เรื่องดังกล่าวกลับโรงหล่อ และเซียนพระที่ว่านั้นแล้ว นอกจากยังปรากฏเอกสารตามสื่อมีชื่อของ พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ ว่าเคยเป็นเลขาฯมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์อีกด้วย และต่อมาอดีตนายทหารทั้งสองคนก็ถูกออกหมายจับในความผิดตามมาตรา 112 โดยเวลานี้มีการระบุว่าได้เดินทางหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว
และที่สำคัญเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอดีตนายทหารทั้งคู่เป็นนายทหารคนสนิทของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร และมีส่วนเกี่ยวข้องกันในเรื่องการมีบทบาทในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ และก่อนหน้านี้ก็มีการปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าไม่มีทหารไปกระทำความผิดในคดีความผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 ซึ่งต่อมาก็มีการออกหมายจับและหลบหนีไปอย่างไร้ร้องรอย
ถัดมาก็เป็นการยืนยันว่าการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ เป็นเงินบริจาคล้วนๆไม่ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน ดังนั้นหน่วยงานตรวจสอบจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)จะเข้าไปตรวจสอบไม่ได้ แต่ในที่สุดก็มีการยืนยันจากประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ว่ามีการใช้เงินงบกลางจำนวนกว่า 63.5 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาสำนักงานปลัดบัญชีทหารบกเบิกจ่ายไปให้กับกรมยุทธโยธาทหารบกไปดำเนินการซึ่งมีการเบิกจ่ายไปแล้วประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังมีการตรวจพบว่ายังมีการใช้งบจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)บริจาคสนับสนุนก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ จำนวน 88 ล้านบาท มันยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่ายิ่งต้องใช้หน่วยงานตรวจสอบจากภายนอกเข้าไปดำเนินการ
อย่างไรก็ดีทางฝ่ายกองทัพและกลาโหมกลับมองว่าเป็น"เรื่องภายใน"ที่ต้องตรวจสอบกันเอง และยืนยันเองว่าบริสุทธิ์ โปร่งใสทุกขั้นตอน ซึ่งในครั้งแรกมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้นมาโดย พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก โดยให้เวลา 7 วัน แต่เมื่อมีการแถลงกลับชี้แจงไม่ใช่เป็นการตั้งคณะกรรมการมาสอบสวนหาข้อเท็จจริงลักษณะเป็นเพียงการตรวจสอบเงินในบัญชีในส่วนของกองทัพบกว่าเหลืออยู่จำนวนเท่าใด ซึ่งตามตัวเลขที่ระบุก็คือประมาณ 33 ล้านบาท ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์แต่อย่างใด และห้ามปปช. สตง.เข้ามาตรวจสอบ
จากนั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบอีกชุดหนึ่งโดยมี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รอ
ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน ซึ่งทั้งรองนายกฯ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้รอผลสอบของคณะกรรมการชุดดังกล่าวก่อน แต่คำถามก็คือจะมีคนเชื่อมั่นคณะกรรมการชุดนี้มากน้อยแค่ไหน เพราะเหมือนกับการสอบกันเอง และยิ่งทำให้มีเสียงเรียกร้องถามหาความโปร่งใสไม่จบไม่สิ้น
เห็นได้ชัดว่าเวลานี้ฝ่ายพรรคเพื่อไทยก็โหมโจมตีอย่างต่อเนื่อง และหากปล่อยไว้นานไปกว่านี้ก็จะกนะทบต่อเครดิตในเรื่องนโยบายปราบปรามการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติของรัฐบาลที่ยังได้รับความเชื่อถือศรัทธาอาจต้องลดระดับลงไปในอนาคต
สำหรับ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร มาถึงนาทีนี้เชื่อว่าคงต้องแสดง"สปิริต"บางอย่างออกมาแล้ว แม้ว่าการตัดสินในดังกล่าวอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับกรณีอื้อฉาว แต่การดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลและคสช.มาตรฐานความรับผิดชอบย่อมต้องสูงกว่าด้านกฎหมาย เพราะหากยังนิ่งเฉยก็จะยิ่งตกเป็นเหยื่อให้ฝ่ายตรงข้ามบ่อนเซาะทำลาย ซึ่งจะลุกลามออกไปจนเหนือการควบคุมก็เป็นได้ !!