ทรูวิชั่นส์กรุ๊ป และกลุ่มดาวเทียมบิ๊กโฟร์ รอลุ้นศาลปกครองชี้ขาด กรณี กสทช. ประกาศให้เรียงช่องทีวีดิจิตอล ช่อง 1 - 36 จากเดิมเลื่อนลงมาอีก 10 ช่อง เป็นช่อง 10 - 46 “สุภิญญา” ชี้ต้องการให้ประชาชนจำเลขช่องได้ง่าย ให้ผู้ประกอบการแข่งกันที่เนื้อหา มากกว่าการคิดแค่ว่าใครจะอยู่ที่ 10 ช่องแรก
วันนี้ (1 ธ.ค.) ศาลปกครองกลางได้ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคดีที่บริษัท ทรู วิชั่นส์ เคเบิ้ล จำกัด (มหาชน), บริษัท ทรู วิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด, บริษัท บิ๊กโฟร์ แซทเทลไลท์ กรุ๊ป จำกัด ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโครงข่ายทีวีดาวเทียม และเคเบิลทีวี ยื่นฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กับพวกรวม 3 คน เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 - 3 ขอให้เพิกถอนประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดหมวดหมู่และการจัดลำดับบริการโทรทัศน์ ที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ พ.ศ. 2558 ลงวันที่ 23 ก.ย. 2558 ที่กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการทีวีดาวเทียม และเคเบิล ต้องออกอากาศโดยเรียงเลขช่อง 1 - 36 ตามที่ประกาศฯ กำหนด โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 2558
ทั้งนี้ การไต่สวนดังกล่าวใช้เวลาเกือบตลอดทั้งวัน โดยศาลต้องการข้อมูลเพื่อนำไปพิจารณาว่าจะกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ก่อนมีคำพิพากษาคือให้ระงับการบังคับใช้ประกาศ กสทช. ดังกล่าวไว้ก่อน ตามที่ผู้ประกอบทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีได้ร้องขอหรือไม่ โดยในส่วนผู้ฟ้องคดีได้มีการส่งตัวแทนในแต่ะบริษัทเข้าให้ข้อมูล ขณะที่ของ กสทช. น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. และ นายสมบัติ ลีลาพตะ รักษาการรองเลขาธิการ กสทช. เข้าชี้แจงต่อศาล
น.ส.สุภิญญา กล่าวว่า สาเหตุที่ กสทช. ต้องกำหนดประกาศเรียงเลขช่อง เนื่องจากต้องการให้ประชาชนจำเลขช่องได้ง่าย และต้องการให้ผู้ประกอบการแข่งกันที่เนื้อหา มากกว่าการคิดแค่ว่าใครจะอยู่ที่ 10 ช่องแรก ซึ่งเป็นการกำหนดไว้ในมาตรฐานที่ชัดเจน จำนวน 36 ช่องแรก หากศาลไม่คุ้มครองผู้ประกอบการ จะส่งผลให้วันพรุ่งนี้ (2 ธ.ค.) ต้องเริ่มเรียงช่องตรงกัน ทั้งผู้ให้บริการโครงข่ายฟรีทีวี, ทีวีดาวเทียม และเคเบิ้ลทีวีระดับชาติ 10 ราย และผู้ให้บริการโครงข่ายเคเบิลทีวีท้องถิ่นที่ยังออกอากาศในระบบอนาล็อก (Analog) แต่หากรายใดไม่ดำเนินการจะต้องมีการแจ้งเตือนให้ปรับตัว โดยปรับขั้นต่ำวันละ 2 หมื่นบาท จนถึงเพดานสูงสุด วันละ 5 ล้านบาท หรืออาจพิจารณาพักใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการ แต่ของส่วนเคเบิลท้องถิ่น กสทช. มีมาตรการผ่อนปรนว่า หากจะออกอากาศไม่ได้ทั้ง 36 ช่อง ก็อาจเลือกรายการตามผังของกลุ่มที่กำหนด เช่น กลุ่มช่องสาธารณะ 12 ช่อง, ช่องเด็ก เยาวชน 3 ช่อง, ช่องข่าวสารและสาระ 7 ช่อง, ช่องรายการทั่วไปภาพความคมชัดปกติ (SD) 7 ช่อง และ ช่องรายการทั่วไปภาพความคมชัดสูง (HD) 7 ช่อง ซึ่งสามารถเลือกกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไปออกอากาศได้ แต่ห้ามเลือกแค่บางช่องในจำนวน 24 ช่องที่ประมูลไปออกอากาศ แต่หากคำสั่งศาลคุ้มครองผู้ประกอบการ ทาง กสทช. ก็พร้อมน้อมรับ
ขณะที่ตัวแทนผู้ประกอบการรายหนึ่ง กล่าวว่า หวังว่า ศาลจะมีคำสั่งชะลอการบังคับใช้ประกาศ กสทช. ดังกล่าวออกไปก่อน จนกว่าจะมีคำพิพากษาคดี เนื่องจากเห็นว่าประกาศดังกล่าวออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการออกประกาศโดยไม่คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของผู้ประกอบการที่ได้มีการตกลงไว้กับผู้รับบริการที่เป็นสมาชิก