“ประยุทธ์” ลงนามสร้างผู้ประกอบการใหม่ ยกเป็นประวัติศาสตร์กำหนดเอ็มอีเป็นวาระชาติ ลั่นตามงานถึง ก.ค. 60 เริ่มใหม่ทำให้ถูก เลือกตั้งไม่ใช่ตีเช็คเปล่านักการเมือง การศึกษาเชื่อมความต้องการชาติ ใช้รัฏฐาธิปัตย์แก้ปัญหา อยู่ตามวาระไม่บิดพลิ้ว ฉะกุข่าวป้ายสีทุกวัน ขู่มี พ.ร.บ.คอมพ์โทษหนัก รบ.วางแผน 10 ปีหน้า ปชช.ต้องดู รบ.ใหม่ทำต่อหรือไม่ งดคุยสื่อ เลขาฯ แจงติดภารกิจ
วันนี้ (25 พ.ย.) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เป็นประธานและมอบนโยบายตอนหนึ่งในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการสร้างผู้ประกอบการใหม่เชิงสร้างสรรค์ และนวัตกรรมระหว่างสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล จำนวน 9 แห่ง ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ว่าถือเป็นประวัติศาสตร์ที่ได้มีการกำหนดเอ็มอีเป็นวาระแห่งชาติ สอดคล้องเศรษฐกิจโลก เริ่มแต่แผนพัฒนาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 ที่ต้องทำได้จริง มีโรดแมปชัดเจน ต้องไม่ใช่แค่เป็นเพียงพิธีการที่มาเปิดงาน ปรบมือแล้วจบไป เพราะตนจะติดตามงานต่อไป ตราบใดที่ตนยังอยู่ถึง ก.ค. 60 ซึ่งตอนนั้นกรอบจับต้องอะไรไม่ได้เลย จนทำให้ตนมายืนตรงนี้ ต้องปฏิรูป แต่พอปฏิรูปก็มีคนไม่ยอมรับ อยากเป็นแบบเดิมๆ ข้าราชการล้มระเนระนาด การบริหารถูกทับซ้อน ติดคุกกันเป็นแถว
นายกฯ กล่าวว่า เริ่มต้นใหม่ทำให้ถูกต้อง ต้องเข้มแข็ง มีภูมิคุ้มกัน ไม่ใช่กระทรวงใครกระทรวงมัน จะเริ่มอะไรต้องมีความพร้อม ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้สอดคล้องเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนการศึกษา ที่ไม่ใช่สอนเอาแต่สิทธิ แต่ไม่เอาหน้าที่ ต้องมีวินัย เป็นหลักของกฎหมาย ตนอยู่ตามโรดแม็ปเพื่อวางพื้นฐานไว้ โดยที่ใครจะมาล้มไม่ได้ การเลือกตั้งอย่าคิดแค่ไม่ใช่เป็นการตีเช็คให้เปล่า โดยไม่ใส่ตัวเลขให้นักการเมือง คิดว่าประชาธิปไตยที่ดีมีเพียงเลือกตั้ง มีผู้แทนเข้าไปสมบูรณ์แล้วเหรอ จะรู้ได้ใครดี ใครเลว ต้องล้างการเมืองให้ใสสะอาด และการเลือกตั้งต้องปฏิรูป ต้องรื้อปัญหาทั้งหมด สิ่งสำคัญคือการศึกษาทุกระดับต้องเชื่อมโยงความต้องการของประเทศ ที่ผ่านมามีการไม่เคารพกฎหมายมีการอ้างเรื่องประชาธิปไตย ครูอาจารย์บางคนก็ไม่เข้าใจ บิดเบือน จนเสียหายต่อประเทศ วันนี้มีรัฐถาธิปัตย์ ใช้ในการบริหารแก้ปัญหาที่ติดขัด คุ้มครองเจ้าหน้าที่ ทำเรื่องเข้าสู่กระบวยการยุติธรรม เพราะที่ผ่านมาไม่ทำกัน แต่กลายเป็นว่าไปเร่งรัดคดี แล้วจะให้คดีความเหล่านี้กองไว้หรืออย่างไร
นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่เคยปฏิเสธที่มาของตน และพร้อมเชิดหน้าสู้เพราะเข้าเข้ามาทำความดี ถ้าไม่เห็นด้วยอยากกลับไปที่เดิมก็เอา วันนี้มาทวงว่าเมื่อไรจะไป ตนอยู่ตามวาระอยู่แล้วในปี 60 ไม่บิดพลิ้ว ต้องทำให้คุ้มกับที่เสี่ยงชีวิตเข้ามา เสียชีวิตความเป็นส่วนตัวไป ข้าราชการก็ต้องมาระวังตัว กลัววันหน้าการเมืองใหม่เข้าจะเดือดร้อนอีก ตนไม่เคยขัดแย้งประชาธิปไตยเป็นระบอบที่ดีที่สุด แต่วันนี้การสร้างความขัดแย้งพร้อมเกิดขึ้นตลอดเวลาว่ามีการโยนความผิด สร้างหลักฐานเท็จกันทุกวัน กล่าวหาต่างๆ ไม่รู้จะทำให้ตนอกแตกตายก่อนหรืออย่างไร หรืออยากให้ประเทศอ่อนแอ ชักจูงได้ง่าย จากพวกที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศโจมตี ใครทำผิดก็ต้องว่ากันตามกฎหมาย จะมาเล่นฝ่ายทำได้อย่างไร การทำงานของตน ไม่มีเพื่อน ไม่มีพี่ มีน้อง พวกไม่ดีก็อย่าเอามาทำงานใหญ่ ต้องขอโทษที่เข้ามา เพราะถ้าไม่เข้ามาเกิดสงครามกลางเมืองแน่ ขอให้อดทนอีกสักนิด
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลได้จัดทำแผนทำไปอีก 10 ปีข้างหน้า รัฐบาลต่อไปต้องนำไปทำต่อ ประชาชนดูด้วยว่าทำเลวหรือไม่ เพราะถ้าไม่ทำอะไรความขัดแย้งจะสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างเรื่องของคดีความรัฐกับเอกชน ที่เป็นทั้งโจทก์และจำเลย ซึ่งมี 12 คดี ซึ่งจะหมดอายุความอยู่แล้ว อย่างเรื่องของคดีบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส มีการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งสิ้น มีปัญหาเรื่องกฎหมาย ซึ่งถ้าจบแล้วชนะก็ดี แต่ถ้าแพ้ก็อ่วม ต้องเอาภาษีมาจ่ายค่าโง่แพงๆ เหมือนคดีคลองด่าน และยังมีพวกคนเลวๆที่กุข่าวผ่านโซเชียลมีเดีย ทำจากข้างนอกเข้ามา บอกเลยอย่ามาโอดโอย ปฏิเสธไม่รู้กฎหมาย เพราะตอนนี้มี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์แล้ว โทษหนักด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯ ได้ใช้เวลากล่าวในงานนี้เกือบ 2 ชั่วโมงด้วยกัน โดยช่วงที่นายกฯ พูดไปได้ประมาณ 1 ชั่วโมง มีลักษณะว่าจะจบ ทำให้ผู้สื่อข่าวและช่างภาพต่างทยอยออกจากห้องที่ตึกสันติไมตรี เพื่อมารอสัมภาษณ์บริเวณทางเชื่อมตึกสันติไมตรีกับตึกไทยคู่ฟ้า เมื่อเห็นดังนั้น นายกฯ ได้พูดขึ้นทันทีบนเวทีว่า “วันนี้ไม่ต้องไปรอทางเชื่อม จะไม่ให้สัมภาษณ์” และเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จบการมอบนโยบายก็ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ ขณะที่ พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เดินมาแจ้งผู้สื่อข่าวว่าวันนี้นายกฯ ไม่ให้สัมภาษณ์ เพราะมีภารกิจต่อในช่วงบ่ายวันเดียวกัน