xs
xsm
sm
md
lg

จำคุกแดงขอนแก่นเผาศาลากลาง 3-13 ปี กับบทเรียนสู้เพื่อแม้ว!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


การเมือง 360 องศา


เพิ่งมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นออกมาเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ให้จำคุกจำเลยซึ่งเป็นคนเสื้อแดงจำนวน 4 ราย จากการแสดงพฤติกรรมอุกอาจร่วมกันเผาศาลากลางจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 โดยมีบทลงโทษลดหลั่นกันไปดังนี้ นั่นคือ จำคุกจำเลยที่ 1-2 เป็นเวลา 13 ปี จำเลยที่ 3 เป็นเวลา 3 ปี ส่วนจำเลยที่ 4 ศาลจำคุกเป็นเวลา 3 ปี 6 เดือน โดยทั้งหมดไม่มีเหตุให้รอลงอาญา เนื่องจากศาลเห็นว่ามีพฤติกรรมที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย รวมทั้งมีพฤติกรรมฐานความผิดหลายข้อหา โดยเฉพาะการมีความผิดร่วมกันในข้อหาชุมนุมสร้างความวุ่นวายในที่สาธารณะตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ร่วมกันบุกรุกทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นหรือของสาธารณประโยชน์ หรือทำลายทรัพย์สินของแผ่นดิน

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า สำหรับจำเลยที่ 4 นั้นได้ถูกศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้จำคุกในคดีเผาสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีที่จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เป็นเวลา 10 ปี 8 เดือนอีกด้วย

น่าสนใจก็คือ หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาออกมา แม้ว่าทนายความของจำเลยจะยืนยันว่าจะสู้คดีจนถึงที่สุด แต่ก็เปิดเผยว่าปัญหา ก็คือ พวกเขามีปัญหาในเรื่องการ “หาหลักทรัพย์” มาประกันตัวออกไปชั่วคราว เนื่องจากหลังจากเกิดเหตุการณ์รัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา มีการยุบสภาทำให้สถานะ ส.ส.หมดไป ไม่อาจใช้ตำแหน่งประกันตัวได้

ทั้งนี้ ปัญหาในเรื่องหลักทรัพย์ประกันตัว การใช้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเสื้อแดงที่ต้องตกเป็นจำเลยถูกฟ้องร้องในคดีที่มีมูลเหตุมาจากการชุมนุมทางการเมือง ส่วนใหญ่ล้วนได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส

นอกจากนี้ ที่น่าจับตาก็คือ หลังจากนี้เฉพาะกรณีเผาศาลากลางจังหวัดขอนแก่น มีรายงานว่า ทางกรมสรรพากร โดยสำนักงานสรรพากรเขตพื้นที่จังหวัดขอนแก่น และสำนักงานสรรพากรเขต ซึ่งตั้งอยู่ภายในศาลากลางดังกล่าวได้เตรียมฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายอีกกว่า 100 ล้านบาท ตามมาอีกด้วย ก็ไม่ต่างจากกรณีเผาศาลากลางที่อื่นๆ เช่น ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี มุกดาหาร และอุบลราชธานี ก็ถูกฟ้องทางแพ่งในวงเงินจำนวนมากทั้งสิ้น

สำหรับคดีเผาศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ถือว่าเป็นคดีล่าสุดที่ศาลชั้นต้นเพิ่งตัดสิน หลังจากก่อนหน้านี้มีการพิพากษาคดีเดียวกันกรณีเผาศาลากลางอุดรธานี ศาลากลางอุบลฯ และ มุกดาหาร รวมทั้งคดีเผาสถานีวิทยุโทรทัศน์เอ็นบีทีขอนแก่น ด้วย โดยบางคดีได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว

นั่นเป็นความผิดของคนเสื้อแดงพวกนี้ตามที่ได้ก่อเอาไว้ ซึ่งก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรมจะละเว้นไม่ได้ อีกทั้งนี่เป็นคดีอุกฉกรรจ์มีอัตราโทษสูงก็ต้องว่าให้ถึงที่สุดก่อน

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาถึงมูลเหตุที่ทำให้เกิดคดีแบบนี้ และทำให้หลายคนต้องมาทนทุกข์ทรมานในเวลานี้ส่วนสำคัญก็คือมาจากการ “ปลุกระดมแบบไม่รับผิดชอบ” ของพวกบรรดาแกนนำประเภท “เผาไปเลยพี่น้องผมรับผิดชอบเอง” ของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือคำพูดก่อนเกิดเหตุแบบปลุกระดมสุดขีดจาก ทักษิณ ชินวัตร ที่กล่าวว่า “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นรุนแรงกับพี่น้องเสื้อแดงที่กรุงเทพฯให้พี่น้องเสื้อแดงต่างจังหวัดไปที่ศาลากลางกันให้เต็มที่”

หรือเสียงของแกนนำอย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ระบุว่า “ให้พี่น้องเสื้อแดงทุกจังหวัดไปรวมกันที่ศาลากลางเพื่อรอเวลา ฟังสัญญาณจากที่นี่ จอมืดเมื่อไหร่แสดงว่าส่งสัญญาณปราบแล้ว ให้พี่น้องตัดสินใจทันที”

น่าเศร้าก็คือ มวลชนคนเสื้อแดงพวกนี้จะว่าไปแล้วออกมาต่อสู้ตามเสียงเรียกร้องปลุกระดมของแกนนำ ซึ่งก็เป็นไปตามความต้องการของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องการใช้มวลชนเป็นเครื่องมือในการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจกลับมา มีการใช้ความรุนแรง ใช้มวลชนก่อจลาจล มีมวลชนติดอาวุธสงครามข่มขู่ใช้การเคลื่อนไหวแฝงตัวไปกับมวลชนเข่นฆ่าทำร้ายเจ้าหน้าที่ ดังที่มีหลักฐานทั้งการจับกุมผู้ต้องหา และอาวุธของกลางเป็นหลักฐานในเวลาต่อมา

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องการสะท้อนให้เห็นในเวลานี้ ก็คือ ผลกระทบที่ตามมาหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมา ทั้งความเสียหายความเดือดร้อนของมวลชนที่ถูกดำเนินคดีถูกจำคุก โดยเฉพาะความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของพวกเขาเหล่านั้น เพราะในความเป็นจริงคนพวกนี้ล้วนเป็นคนหาเช้ากินค่ำอยู่แล้ว บางคนเป็นเสาหลักของครอบครัว เมื่อต้องถูกดำเนินคดีก็ต้องเดือดร้อนแสนสาหัส ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงโวยวายตัดพ้ออยู่ตลอดเวลาว่า “ถูกทอดทิ้ง” ไม่ได้รับการเหลียวแล โดยเฉพาะจาก ทักษิณ ชินวัตร ทั้งทึ่คนพวกนี้ “สู้เพื่อเขา” เพื่อให้เขากลับมามีอำนาจ สู้เพื่อให้ครอบครัวนี้ได้ร่ำรวยขึ้นไปอีก แต่ล่าสุด ก็มีเสียงพูดออกมาว่าไม่มีหลักทรัพย์สำหรับประกันตัวออกมาชั่วคราว สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาได้ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว ไร้การเหลียวแลจากบรรดาแกนนำคนเสื้อแดง และ ทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงคนในครอบครัวของเขา

แม้ว่าในความเป็นจริงในช่วงต้นๆ อาจมีการให้กำลังใจ มีการใช้ตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัว รวมไปถึงใช้เงินกองทุนยุติธรรมประกันตัวเมื่อครั้งพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปชนิดที่เรียกว่า “ไร้คนเหลียวแล” มีเพียงญาติพี่น้องของจำเลยเท่านั้นที่กอดคอร่วมรับชะตากรรมกันอย่างโดดเดี่ยว

ดังนั้น หากบอกว่านี่คือ “บทเรียนอันเจ็บปวด” ของคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งตกเป็นเหยื่อของการปลุกระดมของ ทักษิณ ชินวัตร และแกนนำที่ไร้ความรับผิดชอบกับผลที่ตามมา ก็สามารถพูดแบบนั่นได้ และอย่าได้แปลกใจที่มีจำเลยบางคน อย่างเช่น คดีเผาศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร ที่ผู้เป็นบิดาโน้มน้าวให้ลูกชายซึ่งเป็นหนึ่งในจำเลยไม่ยอมสู้คดีในศาลฎีกา ยอมยุติคดีในชั้นอุทธณ์ ยอมติดคุกโดยให้ลูกชายลืมเรื่องราว และไม่หวนกลับไปทำเหมือนในอดีต ให้ปฏิบัติตัวให้ดีในเรือนจำเพื่อให้ได้รับการลดโทษแล้วกลับออกมาใช้ชีวิตใหม่ต่อไป!
กำลังโหลดความคิดเห็น