ศูนย์ข่าวขอนแก่น - ศาลชั้นต้นสั่งพิพากษาจำคุกเสื้อแดง มีพฤติการณ์ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย เผาศาลากลางจังหวัดขอนแก่น 13 ปี โดยไม่รอลงอาญา ทั้งจำเลยที่ 1 และ 2 ส่วนจำเลยที่ 3 จำคุก 3 ปี และจำเลยที่ 4 จำคุก 3 ปี 6 เดือน ขณะที่ทนายเตรียมยื่นประกันตัวสู้คดี ด้านสรรพากรเตรียมฟ้องแพ่งกวา 100 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสายวันนี้ (11 พ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 12 ชั้น 2 ศาลจังหวัดขอนแก่น ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้อง4 ผู้ต้องหากลุ่มคนเสื้อแดงที่ร่วมชุมนุมบุกรุกเข้าไปในศาลากลางจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 และได้บุกเข้าไปภายในตัวอาคาร ขว้างปาจนกระจกอาคารหลังเก่าแตกยับเยิน พร้อมทั้งใช้ยางรถยนต์สุมไฟจนลุกไหม้ทำให้ข้าวของทรัพย์สินทางราชการเสียหาย
โดยจำเลยที่ตกเป็นผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ประกอบด้วยจำเลยที่ 1 นายอดิศัย วิบูลเสข, จำเลยที่ 2 นายจิรัฐตระกูล สุมหา จำเลยที่ 3 นายสุทัศน์ สิงห์บัวขาวและจำเลยที่ 4 นายอุดม คำมูล
ทั้งนี้ ศาลได้ใช้เวลาอ่านคำพิพากษานานประมาณ 1 ชั่วโมง สรุปได้ใจความว่าในวันเกิดเหตุกลุ่มคนเสื้อแดงได้นัดชุมนุมกันจำนวนหลายร้อยคนบริเวณสวนสาธารณะรัชดานุสรณ์ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับศาลากลางจังหวัดขอนแก่น หลังจากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้เคลี่อนขบวนตรงไปยังประตูทางเข้าศาลากลางทางทิศตะวันตก ซึ่งปิดล็อคอยู่แล้วร่วมกันฝ่าแนวกั้นที่มีทั้งสิ่งกีดขวางและกำลังเจ้าหน้าของรัฐดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่
หลังจากฝ่าแนวกั้นประตูเข้าไปได้แล้ว กลุ่มผู้ชุมนุมได้ยื่นหนังสือต่อนายพยัต ชาญประเสริฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น(ณ ขณะนั้น)เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุติการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์
อย่างไรก็ตาม แม้จะยื่นหนังสือข้อเรียกร้องเสร็จแล้ว กลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงก็ยังไม่ยอมออกไปจากศาลากลางจังหวัด ยังชุมนุมกันต่อด้วยท่าทีที่รุนแรงเกรี้ยวกราด ในระหว่างนั้นผู้ชุมนุมได้พยายามรุกคืบเข้าไปภายในตัวอาคารศาลากลางจังหวัด มีการนำยางรถยนต์ไปวางสุมแล้วจุดไฟเผา บ้างก็ขว้างปาขวดที่เชื่อว่ามีน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปในตัวอาคาร บ้างก็หยิบก้อนหิน อิฐตัวหนอนที่อยู่บริเวณนั้นขว้างปา ทุบทำลายทรัพย์สินทางราชการ ทรัพย์สินของประชาชน
โดยระหว่างการชุมนุมจนถึงเหตุการณ์จุดไฟเผาศาลากลาง ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวที่บึกทึกไว้ได้ทั้งจากช่างภาพสื่อมวลชนหลายแขนงและจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐที่นำมาใช้สืบพยานในชั้นศาลปรากฏมีภาพของจำเลยทั้ง 4 ร่วมก่อเหตุอยู่ด้วยอย่างชัดเจน แต่ละคนมีพฤติการณ์การกระทำผิดที่รุนแรงแตกต่างกันไป ฯลฯ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1-4 มีพฤติกรรมฐานความผิดหลายข้อหา ประกอบด้วย ร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือ กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ,ร่วมกันตระเตรียมวางแพลิง วางเพลิงเผาทรัพย์และร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรือนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ทำให้เสียทรัพย์ ทำให้เสียทรัพย์ที่มีใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์
จึงมีคำพิพากษาสั่งจำคุกจำเลยทั้ง 4 ในฐานความผิดหลายมาตราแตกต่างกันไป โดยสั่งจำคุกจำเลยที่ 1 รวมเป็นเวลา 13 ปี จำเลยที่ 2 รวม 13 ปี จำเลยที่ 3 รวม 3 ปีและจำเลยที่ 4 รวม 3 ปี ทั้งนี้แม้จำเลยที่ 3 และ 4 มีโทษจำคุกเพียง 3 ปีแต่ก็ไม่มีเหตุให้รอลงอาญา เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ชี้ให้เห็นว่าจำเลยทั้ง 2 ไม่มีความเกรงกลัวต่อกฏหมายทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าสถานการ์การชุมนุมมีแนวโน้มลุกลามบานปลาย
ภายหลังศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเสร็จแล้ว นายบุญยง แก้วฝ่ายนอก ทนายความจำเลย ได้เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า หลังจากนี้คงต้องใช้สิทธิสู้ต่อในชั้นอุทธรณ์ แต่มีปัญหากรณีการยื่นประกันตัวผู้ต้องหา ไม่สามารถใช้ตำแหน่ง ส.ส.ยื่นขอประกันได้เพราะหลังมีการรัฐประหาร สถานภาพ ส.ส.ก็หมดสิ้นตาม มีทางเดียวคือนัดหารือญาติของผู้ต้องหาเพื่อหาหลักทรัพย์มายื่นขอประกัน ซึ่งยังไม่ทราบว่าต้องใช้หลักทรัพย์มูลค่าเท่าไหร่และตอบไม่ได้ว่าจะสามารถยื่นประกันได้เมื่อใด
รายงานข่าวแจ้งว่าสำหรับจำเลยที่ 4 นายอุดม คำมูล นั้น วันนี้เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยรถของเรือนจำกลางจังหวัดขอนแก่นในฐานะนักโทษชายในคดีเผาสถานีโทรทัศน์ NBT ขอนแก่นเมื่อปี 2553 โดยศาลฏีกายืนตามศาลอุทธรณ์ให้จำคุก 10 ปี 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญาเช่นกัน
รายงานเพิ่มเติมแจ้งว่า อย่างไรก็ตามนอกจากจำเลยทั้ง 4 จะถูกพิพากษาจำคุกในคดีอาญาดังกล่าวแล้ว หลังจากนั้นกรมสรรพากรจะยื่นฟ้องต่อเพื่อเอาผิดคดีแพ่งกรณีทำให้เสียทรัพย์
เนื่องจากศาลากลางจังหวัดขอนแก่นหลังเก่าที่ถูกเผานั้นเป็นที่ตั้งสำนักงานสรรพากรพื้นที่จังหวัดขอนแก่น และสำนักงานสรรพากรเขตอีกด้วยคาดว่า ได้รับความเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท