เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี เผยวางแผนผลประโยชน์ร่วมเศรษฐกิจ - การค้า ยันแนวคิดประชาธิปไตยไม่เปลี่ยนแปลง ปัดคุยรายละเอียด “ทีพีพี - คอบร้า โกลด์” ด้านรองโฆษกรัฐบาลเผยเจ้าตัวแลกเชอร์การเมืองไทยยาว แจงปัญหาความขัดแย้ง ปัดทำให้ใครเดือดร้อน แถมทูตมะกันเชื่ออีก อ้างได้รับคำนโยบายมาจากวอชิงตัน ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับไทย
วันนี้ (29 ต.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 13.30 น. นายกลินน์ ทาว์นเซนต์ เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยใช้เวลาเข้าเยี่ยมนานถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง โดยภายหลังการเข้าพบ นายกลินน์ เปิดเผยว่า การพบปะครั้งนี้ถือว่าใช้เวลาที่ค่อนข้างยาว ซึ่งยอมรับว่า ส่วนใหญ่ตนเป็นผู้รับฟังมากกว่า และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหลายประเด็น อาทิ ความมั่นคง เศรษฐกิจ และเรื่องสาธารณสุข ซึ่งต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี หวังว่าจะได้พบปะพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีอีกในโอกาสต่าง ๆ
ด้านเรื่องสำคัญที่วางแผนว่าจะดำเนินการในปีนี้ นายกลินน์ กล่าวว่า มีจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ร่วมกันของสหรัฐอเมริกาและไทย ซึ่งเป็นเรื่องเศรษฐกิจการค้าระหว่างกัน และการลงทุนทั้ง 2 ทาง โดยปัจจุบันมีบริษัทเอกชนของทางสหรัฐฯ เข้ามาลงทุนในไทยจำนวนมาก ส่วนความสัมพันธ์ในระดับภูมิภาคนั้น สหรัฐฯ อยากเห็นประเทศไทยมีบทนำในอาเซียน และมีขีดความสามารถเหมือนในอดีต นอกจากนี้ ยังได้ถือโอกาสถึงการสาธารณสุขในระดับโรค โดยเฉพาะการต่อสู้กับโรคระบาดที่อุบัติขึ้น และอยากเห็นความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนไทยและสหรัฐฯ มากขึ้นในทุกๆ ด้าน นอกจากนี้ ในการพูดคุยยังมีโอกาสได้พูดถึงประชาธิปไตยของประเทศไทย รวมถึงเรื่องโรดแมปและการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นด้วย
สำหรับคำถามถึงประชาธิปไตยของไทยนั้น เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ กล่าวว่า แนวคิดของสหรัฐฯ ที่มีต่อประเทศ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และยังไม่เปลี่ยนแปลงจนถึงวันนี้ ซึ่งในการพูดคุยนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เองก็ยืนยันว่าอยากเห็นประเทศไทยกลับคืนสู่ประชาธิปไตย ซึ่งตนไม่สามารถที่จะลงรายละเอียดในคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่หารือกันได้ เพราะจะเป็นการเสียมารยาท ต้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้พูดเอง แต่ในฐานะมิตรประเทศของไทย ตนหวังว่าประเทศไทยจะเดินไปตามโรดแมป และเปิดพื้นที่ให้การมีส่วนร่วมของสาธารณะและการถกเถียงมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการสร้างประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนของประเทศไทย และตนนั้นก็พึงพอใจในความต้องการของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้ไทยกลับสู่ประชาธิปไตยอีกด้วย เพราะในจุดยืนของสหรัฐฯ นั้น สิ่งนี้จะสร้างความยั่งยืนของมิติด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจของไทยในอนาคต ในการที่จะมีรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากประชาชนทุกส่วนของประเทศไทย
เมื่อถามถึงความร่วมมือยุทธศาสตร์เอเชียแปซิฟิก (ทีพีพี) และความร่วมมือคอบร้า โกลด์ของไทย และสหรัฐฯ นายกลินน์ กล่าวว่า ไม่ได้คุยกันในรายละเอียด แต่คุยกันในภาพรวมในเรื่องความสัมพันธ์ไทย - สหรัฐฯ ว่า มีอะไรบ้างที่สหรัฐฯ จะสามารถแบ่งปันร่วมกันกับไทยได้ เมื่อถามถึงแผนการทำงานของเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ นายกลินน์กล่าวว่า มีแผนที่จะไปพบปะกับประชาชนกลุ่มต่าง ๆ โดยจะออกไปในพื้นที่ต่างจังหวัดด้วย ในหลาย ๆ ที่ เพื่อพบปะกับประชาชนทุกกลุ่ม
ขณะที่ พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การมาเข้าพบนายกฯ ของนายเดวีส์ ยืนยันถึงความสำคัญที่ประเทศไทยมีต่อสหรัฐฯ และมิตรภาพที่มีร่วมกันกว่า 2 ศตวรรษ แม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นประเทศไทยก็ยังเป็นมหามิตรกับสหรัฐฯ โดยก่อนที่นายเดวีส์ จะมาประเทศไทยนั้นได้มีการศึกษาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ซึ่งการมาครั้งนี้ก็ไม่ได้มากดดันไทยว่าไทยจะต้องมีนู้นมีนี่เมื่อไหร่ โดยมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาของคนไทยและประเทศไทย ซึ่งทูตสหรัฐฯ ได้เชื่อในความตั้งใจและความจริงใจของรัฐบาลโดยเฉพาะนายกฯ ว่ากำลังทำเพื่อประเทศไปสู่จุดหมายอย่างไร
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้อธิบายให้ฟังถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นในประเทศไทยว่ามีเรื่องราวต่าง ๆ มาจากอะไร มีความแตกแยกในสังคมอย่างไร และมีการอธิบายอย่างที่เราทราบกันดีถึงปัญหาการเมืองต่างๆ แต่สิ่งสำคัญคือ พล.อ.ประยุทธ์ได้บอกว่า ไม่ต้องเชื่อเรา และเน้นย้ำว่าทูตสหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องฟังและเชื่อ แต่ขอให้ฟังและนำข้อมูลเหล่านี้ไปศึกษา ไปสอบถามจากหลาย ๆ กลุ่มเพื่อที่จะมายืนยันข้อมูลว่า สิ่งที่พูดนั้นเป็นความเท็จหรือความจริง และเมื่อถึงขั้นตอนนั้นจะเป็นประเด็นที่ สหรัฐฯ มีความเข้าใจในสิ่งที่เกิดปัจจุบันของไทยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังยืนยันในความเป็นมิตรกับไทยที่ยังหนักแน่น มีความสำคัญเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าตามกฎหมายต่าง ๆ ของเขา อาจจะมีปัญหาในด้านการปกครอง แต่ในด้านความร่วมมือต่าง ๆ ทางทูตสหรัฐฯ ยืนยันว่า จะสานต่อความสัมพันธ์ และจะดำเนินการให้ประเทศไทย มีความร่วมมือกับสหรัฐฯ อย่างแน่นแฟ้นในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การทหาร การศึกษา เรียกได้ว่าทุกด้านที่เคยมีมาต่อกัน ไม่มีด้านใดลดลง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการชี้แจงโรดแมปอย่างไร พล.ต.วีรชน กล่าวว่า วันนี้ไม่มีการพูดถึง เพียงแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ระบุว่า ขั้นตอนที่ผ่านมาเรามีการดำเนินการในลักษณะใช้กติกาอย่างไร เช่น มีการใช้กฎอัยการศึกในช่วงต้น รวมถึงการใช้มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 ซึ่งที่ผ่านมาใช้อย่างสร้างสรรค์ และไม่มีการทำร้ายหรือทำให้ใครเดือดร้อน ยกเว้นแต่บุคคลที่เกี่ยวข้องที่มีคดีความก็ต้องว่าไปตามระบบ และนายกฯ ได้ยืนยันถึงระบบยุติธรรมของไทย ที่มีบางฝ่ายพูดดิสเครดิตว่าไม่น่าเชื่อถือ โดยนายกฯ อยากให้มองว่าที่ผ่านมาเป็น 10 ปี ระบบยุติธรรมเราทำงานมาตลอด ไม่มีการเลือกปฏิบัติ อย่างที่ถูกกล่าวหาทุกอย่างเป็นไปตามหลักฐาน พยานข้อเท็จจริงที่รวบรวมได้
พล.ต.วีรชน กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้เล่าเกือบ 2 ชั่วโมงถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาถึงประวัติศาสตร์ทางการเมืองกว่า 10 ปีที่ผ่านของเรา และอยากให้มองย้อนกลับไปว่าเป็นอย่างที่ว่าหรือไม่ โดยนายเดวีส์ ได้ตอบมาว่า เชื่อในสิ่งที่นายกฯ พูด เชื่อในความจริงใจ และตั้งใจ ซึ่งนายเดวีส์ เป็นคนพูดเอง และมีคำแนะนำว่า อยากให้การมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ ให้คนที่ไม่ได้ออกเสียง (silence voice) มีพื้นที่มากขึ้น โดย พล.อ.ประยุทธ์ เห็นด้วย และให้ศึกษาว่าจะมีวิธีการอย่างไร ซึ่งวันนี้เป็นการพบปะที่สร้างสรรค์ และเป็นการยืนยันจากสหรัฐฯ ที่บอกว่า ได้รับคำนโยบายมาจากวอชิงตัน ว่าการมาครั้งนี้ ให้มาฟื้นฟูความสัมพันธ์กับไทย
“นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงว่า การพบกันครั้งนี้ถือว่ามีความพิเศษ เพราะถุกจับตาดูจากหลายฝ่าย และได้ถือโอกาสชี้แจงถึงความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา เกิดความขัดแย้งของคน 2 กลุ่ม ทำให้รัฐบาลนี้ต้องเข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งรัฐบาลก็จะเข้ามาเพียงชั่วคราวตามโรดแมปที่วางไว้เพื่อเร่งสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้น ซึ่งในเรื่องของโรดแมปนั้น สิ่งที่เราทำในปัจจุบันเป็นการสร้างอนาคตของประเทศไทยแต่ละขั้นตอนที่ทำนั้นก็เพื่อประเทศซึ่งนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่าสิ่งที่พูดวันนี้ไม่จำเป็นต้องเชื่อทั้งหมด แต่อยากให้เปิดใจให้กว้าง รวมทั้งรับฟังในส่วนรัฐบาลไทย และข้อมูลรอบ ๆ ด้าน แล้วจะรู้ว่าความจริงคืออะไร ซึ่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ให้เกียรติกับนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างมาก เข้าใจถึงสถานการณ์ประเทศและเข้าใจในตัวนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างดี ซึ่งทั้งหมดถือว่าท่าทีของสหรัฐฯ ต่อประเทศไทยดีขึ้นและเข้าใจประเทศไทยมากขึ้น เขาเชื่อมั่นเรา 99% ติดแค่เปอร์เซ็นต์เดียว คือ เรื่องกฎหมายและการพูดคุยครั้งนี้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ในฐานะที่เป็นเพื่อนและมีความสัมพันธ์กันมานานกว่า 2 ศควรรษ และการแนะนำต่าง ๆ ก็เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่ต้องการแทรกแซง” พล.ต.วีรชน กล่าว