รายงานการเมือง
ไม่ถนัดแต่ล่อคนอื่น พวกเดียวกันก็ล่อได้ ตามคิวที่อาจารย์ - ศิษย์ “2 ว.” “วิลาศ จันทร์พิทักษ์” และ “วัชระ เพชรทอง” อดีต ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ แท็กทีมสลับหน้ากันออกมาด่ากราด การบริหารงานของกรุงเทพมหานคร ภายใต้การนำทีมของ “ชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.
ไม่กระซวกไส้กันตรง ๆ แต่ล่อเป้าไปที่ผู้บริหารคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น “อมร กิจเชวงกุล” รองผู้ว่าฯ กทม. ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยของ กทม. หรือ “เบญทราย กียปัจจ์” รองโฆษก กทม. ที่ออกมาต่อล้อต่อเถียง
ทว่า งานนี้เจตนามันชัดตั้งแต่แรกว่า การแฉ กทม. ก็น่าจะมีวัตถุประสงค์เล็งไปที่ “หัว” อยู่แล้ว แต่คงไม่ตัดอนาคตตัวเอง ถึงขนาดเฉดหัว “ชายหมู” ออกจากตำแหน่ง เพราะอย่างไรก็ตาม กทม. ยังถือเป็นน้ำบ่อเดียวที่พรรคประชาธิปัตย์เหลืออยู่ โดยเฉพาะในยามที่ฝ่ายการเมืองยังต้องเว้นวรรค อยู่ในตอนนี้
การออกมาลากไส้คนในชายคาเดียวกัน ไม่ใช่จู่ ๆ “2 ว.” นึกคึกอยากทำเอง โดยไม่ปรึกษาหารือใครแน่ โดยเฉพาะธรรมเนียมมารยาทในพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าไม่ได้รับไฟเขียวจากผู้หลักผู้ใหญ่ หรือแกนนำบางคน ลำพังสมาชิกพรรคสองคนคงไม่กล้าผลีผลาม ขนาดแค่เรื่องให้สัมภาษณ์รายวันในประเด็นท่าทีของพรรค ยังรูดซิปปากรอที่ประชุมพรรคเคาะ หรือ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ออกมาพูดก่อน
เรื่องนี้น้ำหนักมันเลยเทไปทาง “สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อในตน” เกิดความไม่พอใจกันในพรรค ระหว่างบางขั้วกับบางขั้วมากกว่า เลยล่อกันแรงออกอากาศแบบนี้
โดยเฉพาะเรื่องกรณีทุจริต คอร์รัปชันที่พรรค “พระแม่ธรณีบีบมวยผม” ชูเป็นคอนเซปต์มาตลอดว่า อยู่ตรงข้าม แต่กลับมาเกิดเรื่องอื้อฉาวในหมู่คนกันเอง กลายเป็นว่า “พรรคคนดี” ทำงามไส้ เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ก็มีกับเขาเหมือนกัน เกิดคำถามตามมาว่า ตกลงที่ผ่านมา “ดีจริง” หรือแค่ “สร้างภาพ”
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แฉแล้วก็ต้องเอาให้สุด อย่ามาทำมวยล้มต้มคนดู เหมือนกับที่ “เดอะมาร์ค” พยายามจะเรียกทั้งสองฝ่ายมาเคลียร์ เพื่อยุติศึก เพราะเรื่องทุจริตคอร์รัปชนไม่ใช่เคลียร์กันในพรรคแล้วจบ แต่มันต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบให้รู้ว่า มีการมุบมิบกันจริงหรือไม่ หรือสาวไส้กันแค่ลมปาก
แล้วถ้าผิดจริง มีขบวนการเหลือบไรอยู่ใน กทม. ต้องลากคอเอามาลงโทษ ไม่ให้คนนินทาหมาดูถูกว่า ทีพรรคเพื่อไทยทำอะไรก็ผิด แต่พรรคประชาธิปัตย์มี“ตั๋วคนดี”เลยได้เอกสิทธิ์ทุกเรื่อง
ทุกโครงการที่ “2 ว.” ออกมาแฉ ต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ต้องรีดความจริงออกมาว่า เรื่องมันยังไงกันแน่
โครงการติดตั้งกล้องวงจรปิดของ กทม. ที่ส่งกลิ่นไม่จบไม่สิ้น ต้องชำแหละกันสักทีว่า สุดท้ายมันมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไม่ เพราะไม่ว่าเกิดเหตุอะไร เวลาจะขอดูกล้องวงจรปิด มีปัญหากันทุกที แม้แต่เหตุการณ์บึ้มราชประสงค์ที่ผ่านมาหยก ๆ กทม. กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ยังด่ากันเอาล่อเอาเถิดไปพักใหญ่
กรณี “รองผู้ว่าฯ กทม.” คนหนึ่ง เดินทางไปต่างประเทศทุกเดือน นั่งเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาส ใช้เงินสดซื้อตั๋ว ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ตกลงเป็นไปตามข้อสงสัยของ “วิลาศ” หรือไม่ว่า ที่มาของเงินจะเกี่ยวข้องกับกรณีการทำหนังสือเวียนถึงเขตต่าง ๆ ที่ขอให้ตรวจสอบ และทำเรื่องมาถึง กทม. เพื่อขอให้ซื้อรถต่าง ๆ เช่น รถดูดเลน รถดูดไขมัน หรือไม่
เพราะเดิมแต่ละเขตจะมีอยู่แล้ว 1 คัน แต่มีการสั่งภายในให้เขตทำเรื่องเสนอมา พร้อมกำหนดสเปก เช่น รถดูดไขมันขนาด 8 คิว คันละ 24 ล้านบาท ซึ่งการที่ต้องสั่งให้เขตต่าง ๆ ทำเรื่องขึ้นมา ก็เพื่อใช้อ้างกรณีถูกตรวจสอบว่าเป็นการเสนอขอซื้อจากเขต ไม่ใช่เป็นคำสั่งจาก “รองผู้ว่าฯ กทม.”
หรือเรื่องการเรียกรับผลประโยชน์ ที่มีการแฉว่า ในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงของ กทม. เช่น การย้าย ผอ.เขต ต้องใช้เงินถึง 7 หลัก มูลค่าตำแหน่งขึ้นอยู่กับพื้นที่ว่าเป็นเขตใหญ่ เขตเล็ก มีการผลประโยชน์มากน้อยเพียงใด เช่น ฝั่งที่มีคอนโดมิเนียมเป็นจำนวนมาก จะมีการเรียกค่าเซ็นใบอนุญาตก่อสร้าง ทั้งที่ถูกแบบกลางของ กทม. แล้ว
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการสร้างสวนเฉลิมพระเกียรติ เขตธนบุรี โดยประมูลงานผ่าน อี-ออกชัน แต่บริษัทที่ได้ปรากฏว่า เป็นของคนสนิทของ “รองผู้ว่าฯ กทม.” คนหนึ่ง ที่สำคัญ คือ มีการสร้างสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ล่วงหน้า ก่อนที่จะมีการเซ็นสัญญา โดยมีการระดม หรือสั่งข้าราชการ กทม. ให้อำนวยความสะดวกให้กับบริษัทดังกล่าวทุกอย่าง เมื่อสร้างสิ่งก่อสร้างเสร็จ เพิ่งจะมาเร่งรัดกับทางเขต ให้รีบเซ็นสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง โอยอ้างว่า “รองผู้ว่าฯ กทม.” คนนั้นสั่งให้รีบเซ็น
ไม่เว้นแม้แต่ปมผลาญงบฟุ่มเฟือยที่มีการปอกเปลือกว่า ทำตัวเป็นไฮโซ ขนทีมงานของ “รองผู้ว่าฯ กทม.” คนเดิมไปฉลองเกษียณอายุราชการที่ญี่ปุ่น โดยมีการซื้อสินค้าจาก บริษัท คิงเพาเวอร์ ในช่วงโปรโมชัน ซึ่งซื้อครบ 5 หมื่น จะแจกตั๋วเครื่องบินไปกลับญี่ปุ่น 1 ใบ ปรากฏว่า มีการสั่งซื้อสินค้าล็อตเดียวถึง 5 ล้านบาท แล้วได้ตั๋วไปกลับ 100 ใบ
ยังไม่นับรวมเรื่องการใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า บริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ชาวกรุงได้แบบเป็นที่พอใจ เหมือนกรณีซื้อรถดับเพลิง 300 คัน แต่คนขับแค่ 40 คน ที่ดูหละหลวมในการจัดทำโครงการ จนนำมาสู่การตั้งข้อสงสัยในกลิ่นแปร่ง ๆ
หากความไม่ชอบมาพากลเหล่านี้เป็นเรื่องจริง ถือเป็นความ “อัปยศ” ครั้งยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้ แล้วยังน่าสนใจว่า เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นมานานแล้วหรือยัง เพราะเท่ากับว่า กทม. กลายเป็นแหล่งขุมทรัพย์ก้อนโตของคนบางกลุ่มบางพวก
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าเรื่องนี้จะมีมูลเหตุมาจากรอยร้าวภายในพรรคประชาธิปัตย์จนต้องออกมาลากไส้กันเอง เพราะระยะหลัง “ท่อน้ำเลี้ยง” ที่ กทม. ต้องจัดส่งให้พรรคมาตลอด เกิด “อุดตัน” ขาดการติดต่อมานาน ตั้งแต่ “ทิดเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ออกจากพรรคไปเล่นการเมืองบนถนน หรือเป็นเพราะกระแสข่าวว่า กทม. ก็อยู่ในอาการง่อนแง่น มีปัญหาเงินทองฝืดเคือง เงินทุนสำรองที่มีอยู่กว่า 3 หมื่นล้านบาท เหลือ 2 พันล้านบาท จริงหรือไม่
แต่ที่แน่ ๆ เมื่อมีการนำความเน่าในออกมาประจานอยู่เบื้องหน้า ประชาชนย่อมอยากรู้ว่า เรื่องไหนจริง เรื่องไหนลวง โกงจริง หรือ แค่ดิสเครดิตกันธรรมดา ๆ ดังนั้น กระบวนการตรวจสอบตามกฎหมาย จึงเป็นทางที่จะต้องเดินไปให้สุด
คนของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีชื่อไปพัวพันเองก็ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ ไม่ใช่ไปปิดห้องคุยกัน แล้วให้ข่าวเงียบหายไปเอง หรือใช้วิธีปลดคนนั้น คนนี้ เพื่อหนีกระแสร้อนเหมือนกับทุกครั้งที่เกิดปัญหา
งานนี้นอกจากปลดแล้วต้องสอบให้สิ้นสงสัยด้วย หมดเวลาใช้ “ตั๋วคนดี” คุ้มกะลาหัวกันเสียที