xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” ชี้ใช้ ม.44 เด้งเลขาสภาฯให้งานเดินหน้า กม.ปกติทำไม่ได้ แจง จม.“ธานินทร์” ใน ครม.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ประยุทธ์” แจง เลิกคำสั่งตั้งเลขาสภาฯเอง รับผิดด้วยไม่ได้เช็ก ชี้เหตุเด้งมาจากทุจริต ปรับประสิทธิภาพ ต้องใช้ ม.44 เหตุใช้ กม. ปกติไม่ได้ บ่น รบ. เก่า ๆ อยู่ตั้งกี่ปีไม่ทำ เผย ตั้ง กก. สอบว่าตาม กม. ไม่ปิดกั้นร่วม ทีพีพี แต่ต้องศึกษาให้ดี เข้มใช้งบกลาง หวั่น ไม่เหลือลงทุน เกาะติดช่วยชาวนา บ่นข้าวราคาตกยังปลูก แจง จม. “ธานินทร์” ให้ ครม. โต้ให้ทุกคนนั่งร่าง รธน. ไม่ได้ ย้อนถามวันนี้ดีกว่าหรือแย่ลง ลั่น เข้ามาแล้วไม่กลัว

วันนี้ (20 ต.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีการยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในกรณีแต่งตั้งโยกย้ายเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ ว่า ตนเป็นผู้ทบทวนเอง ซึ่งเป็นเรื่องของกลไกโดยเป็นหน้าที่ของประธานสภา ที่รับผิดชอบและดูแล เรื่องการขับเคลื่อน การสร้างรัฐสภาให้รวดเร็ว ถ้าคนนี้เขาทำไม่รวดเร็วก็หาคนอื่นมาทำใหม่ เพราะเวลาจำกัดลงเรื่อย ๆ ต้องให้ความเป็นธรรมกับคนก่อสร้างด้วย มีปัญหาเรื่องการทิ้งดินบ้าง งบประมาณการย้ายจึงต้องเร่งทั้งหมด ทั้งนี้ เหตุผลของการโยกย้ายมี 2 อย่าง คือ 1. การทุจริต และ 2. เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งตอนนี้ย้ายเฉพาะเรื่องประสิทธิภาพก่อน ถ้ามีเรื่องการทุจริตเข้ามาก็ไปสอบกันต่อ เพราะมีกลไกในการสอบ ไม่ใช่ตนสอบ ที่มีปัญหาสำคัญที่สุด คือ เมื่อตั้งมาแล้วตนได้สั่งให้ทบทวน ว่าติดขัดอะไรกันหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เจ้าหน้าจะแต่งชุดด ำเพราะเรื่องนี้ทำอะไรกับตนไม่ได้อยู่แล้ว

“แล้วไง ผมใช้อำนาจผิดตรงไหน นี่ไงผมไม่ได้ใช้อำนาจแบบไม่ฟังใครซะเมื่อไหร่ และผมได้รับฟังและให้ไปทบทวนว่าทำไมจึงมีปัญหา ผมไม่ได้ดันทุรังไปทุกเรื่องซะเมื่อไหร่ อีกทั้งได้ให้ไปเช็กไปเช็กมา ปรากฏว่า เขายังอยู่ในระบบของการแต่งตั้งเดิมอยู่ ยังไม่เสร็จ ซึ่งตำแหน่งเดิมเขาเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) ของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา และมาดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแทน ซึ่งตำแหน่งนี้ยังไม่ออกมา ดังนั้น จึงจะไปปรับให้เขามาเป็นเลขาธิการเลยไม่ได้ ผมก็ยอมรับว่าผิดด้วย เพราะผมเซ็นไป แต่ผมได้สั่งตรวจสอบ เพราะที่ผ่านมามีคณะทำงานทำกันเยอะไปหมด กว่าเรื่องจะมาถึงผมมีเป็นร้อยเป็นพันเรื่อง ไม่ดีก็ไปว่ามา เป็นเรื่องของการขับเคลื่อนงานรัฐสภา ซึ่งประธาน สนช. ดูแลเรื่องนี้อยู่ และมันผูกพันกับเรื่องบริษัทก่อสร้างด้วย การย้ายส่วนราชการ ย้ายโรงเรียน ซึ่งการย้ายต่าง ๆ ติดขัดไหม ถามว่าจะต้องติดขัดแบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ที่ผ่านมา ก็เปลี่ยนมาทีหนึ่งแล้ว และถ้าไม่ดีก็เปลี่ยนอีก ตนถึงบอกว่าเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าไม่ดี เข้าใจหรือไม่ ไม่อย่างนั้นคนจะทำอะไรกันไปเรื่อย ๆ หรือที่เรียกว่าซื้อเวลาไปเรื่อย ๆ แบบนี้ประเทศเสียหายหรือไม่ ผมไม่ได้ไปตำหนิเขา ให้ไปว่ากันมา เรื่องแบบนี้มาจากข้างล่างขึ้นมา ผมจำเป็นต้องใช้อำนาจผมด้วยเหตุผลและความจำเป็น ไม่ได้อยากจะตั้งหรือยกเลิกด้วยมาตรา 44 ด้วยซ้ำไป แต่อะไรต่าง ๆ ที่เป็นการขับเคลื่อนให้เร็วขึ้นผมก็จำเป็นจึงได้มีมาตรา 44 ไม่ใช่ต้องการไปรังแกข้าราชเอาคนพวกนี้ออก ถ้าคนที่อยู่ในระบบราชการแล้วทำงานไม่ได้ก็ต้องเอาออกไป ว่าจะอยู่ข้างไหนก็ทั้งนั้นแหละ วันนี้ก็เหมือนกันถ้าไม่ดีก็ย้ายไป ข้ามไปข้ามมาได้ไม่เห็นเป็นอะไร” นายกฯ กล่าว

เมื่อถามว่าที่พรรคประชาธิปัตย์ ระบุ คสช. ใช้ ม.44 พร่ำเพรื่อกับการแต่งตั้งโยกย้าย นายกฯ กล่าวว่า พอแล้วเรื่องนี้ขี้เกียจฟังแล้ว พอเหอะเครียด ไม่ตอบโต้ เรื่องเล็กไม่สนใจ แล้วเรื่องใหญ่มันก็ไม่สนใจด้วย เรื่องเล็ก ๆ เป็นปัญหาของเรื่องใหญ่ทั้งสิ้น และสิ่งเหล่านี้เกิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ การสร้างสภา เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ แล้วทำไมไม่ทำให้เสร็จ ทุกคดีทำไมไม่เสร็จสมัยที่เขาเป็นรัฐบาลกัน พอตนเอามาทำก็เดือดร้อนอีก หาว่าตนอย่างโน้นอย่างนี้ คดีเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนที่ตนเข้ามาทั้งสิ้น เอาเข้ามาในกระบวนการยุติธรรมแล้วก็ไปสู้คดีกันไป

“เป็นรัฐบาลมาคนละกี่ปีแล้วทำไมไม่ทำ ความเข้มแข้งของประเทศอยู่ตรงไหน การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอยู่ที่ไหน การบังคับใช้กฎหมายเป็นอย่างไร เจ้าหน้าที่ได้ปรับปรุงดูแลประสิทธิภาพกันหรือไม่ เรียกร้องกันทุกอันจากเจ้าหน้าที่ เคยดูแลเขาอย่างไรบ้าง ด่าโกงโกงทุกวัน ทำไมเงินเดือนเท่านี้ด่าได้ทุกวันทุกอย่าง จะเป็นหมูเป็นหมาก็ด่าหรือไม่ ปัดโธ่ พอเขาจะดูแลกันก็ไม่ได้ เนี๊ยเอาเปรียบประชาชน ไม่มีเงินเดือน ทุกอย่างมจะบอกให้ว่าต้องมีน้ำใจให้กันและกันบ้าง ถ้าท่านจะเรียกร้องอะไรจากเขาให้เกียรติเขาบ้าง ไม่ใช่ด่าเขาหมด ทุกคนต้องเลวหมดได้ที่ไหน” นายกฯ กล่าวตัดพ้อ

เมื่อถามว่า มีการตรวจสอบเรื่องการทุจริตงบประมาณในการก่อสร้างรัฐสภา หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เขากำลังตรวจสอบอยู่ และต้องตั้งคณะกรรมการมา เรื่องการทุจริตผิดกฎหมายนี้ก็เหมือนกัน มีกลไกไม่รู้กี่กลไก กฎหมายไม่รู้กี่ฉบับ องค์กรต่าง ๆ ก็มี ถ้าท่านคิดว่าจะให้เร็วก็ไปฟ้องร้องทุกข์กล่าวโทษมาว่าเขาโกง แต่ถ้าไม่รู้ยังไม่มีหลักฐาน ตนก็ไม่พูดว่าเขาโกง เรื่องแบบนี้ต้องพูดด้วยหลักฐานใช่พูดส่งเดชไปเรื่อง ตนไม่พูด เพราะพูดแล้วก็หาว่ารังแกอีก ให้ไปดูตามกฎหมายว่าผิดกฎหมายกันหรือไม่

“การจะทำผิดกฎหมายต้องมีการร้องทุกข์กล่าวโทษ จำไว้ไม่เขียนโซเชียลแล้วจับติดคุก แบบนั้นทำไม่ได้ ให้รู้ว่าหลักการกฎหมายว่ากันอย่างไร ถ้าพูดกันอยู่อย่างนี้ไม่มีจบ คิดว่า โกง ทุจริต ก็ไม่จบ คิดว่าโกงตรงนี้ คิดว่าทุจริตก็ไม่ต้องทำอะไรกันทั้งสิ้น แต่ถ้าคิดว่าโกงก็บอกมาเลย ฟ้องมาเลยเอาหลักฐานมา อย่ามากล่าวหาว่าเขาบอกเล่ามา เขาบอกว่าวันนี้ยังมีการซื้อตำแหน่ง มีการอ้างหาผลประโยชน์ก็ไปหาหลักฐานมา ถ้าพดกันไม่มีหลักฐานประเทศชาติเสียหายไหม อะไรที่เป็นกลไกก็เป็นกลไก มีกฎหมายหลายช่องทางจะมาพูดว่ากันเฉย ๆ ไม่ได้ มันเสียหายกับคนของเขาที่ไม่มีโอกาสต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม และเป็นการสร้างการรับรู้ว่าประเทศไทยขี้โกงกันทั้งประเทศเลยหรือไง ท่านไม่รักษาหน้าประเทศไทยกันบ้างหรือไง ทำอะไรก็ทำกันภายในของเรา ไม่ใช่ไปประจานกันอยู่โน้น ว่าไอ้นี่ผิด ถูก เป็นธรรมไม่เป็นธรรม ตนไม่ใช่เป็นคนกำหนดจะไปตัดสินว่าเขาถูก หรือผิด ไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ผมต้องใช้อำนาจ ถ้าคิดว่ามาตรา 44 ใช้ที่สำคัญแล้วอะไรที่สำคัญลองยกตัวอย่างสำคัญมา หรือจะให้ตนใช้ ม.44 ไปยึดทรัพย์อย่างนี้หรอ ปัดโธ่ แล้วมันยอมรับกันไหมเหล่า นี่ก็ทำทุกอย่างให้ชัดเจนขึ้น ยอมรับมาด้วยกระบวนการยุติธรรมตามกระบวนการปกติ ระเบียบสำนักนายกฯ กฎหมายมีหรือไม่ไปว่ามา ที่ตนใช้ เพื่อให้ปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน ย้ายคน ปรับเปลี่ยนเรื่องของการบูรณาการ ตั้งซูเปอร์บอร์ด ตั้งมาทำไมตั้งมาหากินหรอ แต่ที่ตั้งมาเพราะขับเคลื่อนบูรณาการงาน แล้วมันก็ไปตามลำดับ ไม่ทันใจตนก็เร่งเอา แค่นั้นเองถึงแม้ผมไม่ได้เป็นประธานแต่ก็เร่งการประชุมทุกวันว่าเสร็จหรือยัง ไม่ใช่นั่งในที่ประชุมเฉย ๆ ตั้งไปแล้วก็ต้องทำงาน ถึงเวลาแล้วคอยเสร็จผมไม่ใช่คนทำงานแบบนั้น แต่ลงรายละเอียดทุกเรื่องทุกอัน เพราะทุกอย่างคือรากฐานประเทศทั้งหมดอยู่ภายใต้ความรักความสามัคคีของคนในชาติ ถ้ายังตีกันอยู่อย่างนี้อย่าไปหวังอะไรเลยจะมีสปท. 5 พันคน ก็เท่านี้ กรธ. 70 ล้านคน ก็เป็นแบบนี้เพรามหาจุดร่วมมาเจอกัน แล้วจุดต่างมาว่ากันก่อนก็ไปไม่ได้” นายกฯ กล่าว

เมื่อถามว่า การย้ายตำแหน่งตำแหน่งดังกล่าว ใช้อำนาจประธาน สนช. หรืออำนาจนายกฯ น่าจะได้หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ตำแหน่งแบบนี้ต้องโปรดเกล้าฯหรือไม่ เป็นวาระย้ายหรือไม่ เขามีระเบียบอยู่หมด ถ้าใช้ได้ก็ใช้ไปแล้ว เพราะนี่ใช้กฎหมายปกติไม่ได้จึงต้องใช้ ม.44

เมื่อถามว่า จะใช้ ม.44 ในการย้ายข้าราชการอีกหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็ใช่ไง แต่ถ้าเขาทำดีจะย้ายทำไม เขาอาจจะมีประสิทธิภาพของเขาก็ได้ ตนไม่ได้ว่าเขาไม่มีประสิทธิภาพ แต่เขาขับเคลื่อนงานให้ไม่ได้จึงย้ายเอาก็แค่นั้น ถ้าปล่อยระบบปกติทำ แล้วทำกันหรือไม่ เมื่อถามย้ำว่าจะมีการสั่งย้ายในล็อตต่อไปอีกหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่รู้ ไปหามาจะให้ย้ายใครไปหามา ถ้าเขาไม่ผิดจะให้ไปหาอะไรนักหนา เดี๋ยวเขาก็รายงานมา ตนก็ไล่ไปทุกกระทรวง ที่สั่งอะไรไปบ้างแล้วไม่เสร็จ อยู่ที่ใคร ใครต้องทำ และไม่เสร็จเพราะอะไร ชาวบ้านร้องเรียนหรือไม่ ต้องทำให้เกิดความชัดเจน ถ้าอยู่แล้วเสียหายก็ต้องออกมาก่อน ถ้าไม่ผิดให้กลับไป ที่เอาออกมาก็เอากลับไปหลายคน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกระทรวงพาณิชย์ได้ชี้แจงถึงข้อดีข้อเสียการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย - แปซิฟิก (ทีพีพี) ในฐานะนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าไม่ได้ปิดกั้น เพราะวันหน้าอาจต้องเข้าร่วม ยังมีเวลาจนถึงปี 2560 โดยระยะแรกก็มีการสมัครเข้าไป ซึ่งในบรรดาประเทศที่เข้าร่วม ต่างมีหลายประเด็นที่ไม่รับทั้งหมด เรื่องนี้เราไม่ควรรีบร้อน เพราะต้องรอดูรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น การค้า อุตสาหกรรม โดยต้องพิจารณาผลเสียด้วย ซึ่งข้อดีและข้อเสียค่อนข้างซับซ้อน อาทิ ข้อตกลงต่าง ๆ อย่างก็ตาม ประเทศต้องได้ผลดีมากกว่าผล เพราะถือว่าดีในอนาคต

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลมีหลายมาตรการด้านเศรษฐกิจ ซึ่งต้องดูเศรษฐกิจของโลก ภูมิภาค และประเทศไทย วันนี้โลกมีการเปลี่ยนแปลง ไทยต้องดูบทบาทของตัวเองว่าจะทำอย่างไร หากไม่ร่วมมือกับใครเลยคงไม่ได้ ขณะเดียวกัน หากเข้ากับบางประเทศ ก็อาจจะเสียบางกลุ่มไปหรือไม่ ยังไม่ทราบ ดังนั้น จำเป็นต้องศึกษารอบด้าน อย่าคิดแต่แง่ดีโดยไม่มองผลเสีย เชื่อว่า ไม่มีอะไรที่จะได้มาทั้งหมด แต่เราต้องได้มากกว่าเสีย อย่างไรก็ตาม การเจรจากับประเทศวันนี้ได้มีการปรับใหม่ทั้งหมด ซึ่งต่อไปจะต้องมีการปรับปรุงเรื่องงบประมาณ โดยงบประจำและงบกลางต้องมีความชัดเจนขึ้น และได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูว่าจะใช้จ้างงบประมาณปี 2559 ให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร ซึ่งงบประมาณต้องไม่มีความซ้ำซ้อนและต้องได้ประโยชน์ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่เหลืองบกลางในการลงทุน

“รัฐบาลนี้ทำมากไปกว่ารัฐบาลก่อนด้วยซ้ำ ผมไม่ได้กล่าวอ้างว่ารัฐบาลไหน แต่ทำมากว่ารัฐบาลปกติอีก ไม่อย่างนั้นจะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ดังนั้น สื่อต้องสร้างการรับรู้ใหม่ให้กับสังคม คนไทย ถ้าอยากมีประเทศชาติที่ปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สิน มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจหรือเปล่า หรือจะเอาแบบนี้ที่ประเทศไทยมีรายได้ 2 ล้านล้านบาท อยู่อย่างนี้แล้วใช้จ่ายปีละ 2.7 ล้านล้าน ตั้งงบขาดดุลไปเรื่อย ๆ ขณะเดียวกัน หนี้สินก็พอกพูน การลงทุนที่ชัดเจนเรื่องโครงสร้างพื้นฐานก็ไม่เกิดแล้ว จะเอารายได้ที่ไหนมาพัฒนาประเทศ มาดูแลคนที่ลำบาก วันนี้ทุกคนเรียกร้อง จะเอาเงินที่ไหนเงินมีเท่านี้หนี้เก่าก็มี หนี้ใหม่ก็ต้องทำเพราะต้องลงทุนเพื่อก่อให้เกิดรายได้ ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มีอย่างเดียวคือการช่วยเหลือ ซึ่งแก้ไม่ได้ ประชาชนเดือดร้อนก็ต้องแก้ไป แต่จะทำอย่างไร สร้างความเข้มแข็งไปด้วย ไม่ใช่ให้อย่างเดียว” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ได้สั่งการให้ติดตามเรื่องการจัดหาเครื่องมือการเกษตรจากองค์การบริหารปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัด และทหาร เพื่อนำไปขับเคลื่อนทางการเกษตร ที่เป็นแปลงขนาดใหญ่ เอาเครื่องจักรของเราเพื่อถ่วงดุลกันกับการเช่าเครื่องจักร จากข้างนอกเพื่อให้ราคาใกล้เคียงกัน และไปดูเรื่องค่าเช่าที่ดิน ราคาค่าเช่าแพงเกินไปหรือไม่ มีความเป็นธรรมกับชาวไร่ชาวนาหรือไม่ พร้อมหาตลาด ขับเคลื่อนกองทุนท้องถิ่น เอสเอ็มอี โซเซียลบิสสิเนส ทั้งหมดคือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ เศรษฐกิจชุมชน วางพื้นฐานอนาคตรายได้ประเทศ เราจะเดินหน้าไปอย่างศักยภาพ ต้องแลกเปลี่ยนค้าขายกันกับต่างประเทศ ไม่ใช่แข่งขันราคากัน “ส่วนข้าว ไม่ใช่ปลูกข้าวไม่ได้ ก็ปลูกกัน แล้วราคาก็ตก ข้าวต้องปลูกเท่ากับความต้องการที่เราขายได้ ราคาไม่สูงขึ้น ทุกประเทศต้องทำแบบนี้ ความร่วมมือของอาเซียนด้วย”

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีนายธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี ส่งจดหมายส่วนตัวเสนอแนะนาวทางการปฏิรูป ว่า ตนได้พูดในที่ประชุมครม.ได้ทราบในเรื่องดังกล่าว และให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ไปดูและส่งต่อให้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ต่อไป โดยสาระสำคัญเป็นการให้กำลังใจและเห็นการฏิบัติงานอย่างตั้งใจของพวกเรา และเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่จะต้องมีความอิสระอย่างไร เรื่องการปราบปรามการทุจริต การปฏิรูปประเทศ ทำนองนี้ ซึ่งตนก็ได้พูดไปในที่ประชุม ครม. ด้วย และวานนี้ (19 ต.ค.) ตนได้พบ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี และคนอื่น ๆ ก็คุยกันทุกคน ซึ่งมีความคิดเห็นมาตนก็รับทั้งหมด และส่งต่อไป เป็นเรื่องการพิจารณาของ กรธ. สปท. ที่จะไปทำกันมา ตนให้เป็นอิสระ แต่ต้องรับฟังความคิดเห็น

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนได้ส่งข่าวไปยัง สปท. ว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่ทั้งสปท. และ สนช. กรธ. จะปฏิบัติหน้าที่ไปพร้อม ๆ กัน ถ้าไปคนละทางสองทางก็ไม่ตรงกันอีก ก็ไปเสียทีเดียว จะได้ตอบคำถามได้จบ เรื่องนี้จะเป็นอย่างนี้ ปฏิรูปเสร็จแล้ว จะมีกฎหมายอะไรต่อที่จะมาทำเรื่องการปฏิรูปและ การร่างรัฐธรรมนูญของกรธ.จะเกี่ยวข้องกับตรงนี้ด้วยหรือไม่ ถามต่อให้จบเป็นพื้นที่ไป ไม่เช่นนั้นก็รับกันสามครั้ง เมื่อไม่ตรงกันก็เดือดร้อน ไม่สร้างการรับรู้พร้อมกันก็จะทำให้เป็นปัญหาหมด พอถึงชั้นทำประชามติก็จะทำให้มีปัญหาอีก

“ผมก็แฟร์ทุกอย่าง ไม่ได้อยากอะไรเลย ผ่านไม่ผ่าน ผมอยากให้มันผ่านตั้งแต่ฉบับแรก แต่มันไม่ผ่านก็คือไม่ผ่าน ไม่ใช่ว่าสั่งได้เมื่อไหร่ เห็นไหมทุกคนก็บอกว่าเป็นอิสระ ผมก็บอกว่าเป็นอิสระอยู่แล้ว ไม่เคยไปอะไรกับเขา แต่ปัญหาอยู่ที่คนพูด ชอบพูดเยอะพูดมาก ก็เลยทำให้เกิดการไม่เข้าใจ ทุกคนก็หวังดีหมดแหล่ะ” นายกฯ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อเสนอที่ระบุว่านักการเมืองที่ถูกตัดสินว่าทุจริต และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองควรหยุดเล่นการเมืองตลอดชีวิต นายกฯ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน อยู่ที่ว่ากฎหมายเขาจะว่าอย่างไร รัฐธรรมนูญจะเขียนว่าอย่างไร ถ้ามีความผิดจะได้กลับเข้ามาอีกหรือไม่ ของเดิมละเว้นกี่ปี ของใหม่เขาไม่ให้เข้ามาเลยหรือเปล่ายังไม่รู้ ต้องให้ กรธ. ไปประเมินความคิดเห็น หากดูในต่างประเทศบางประเทศเขาก็ทำแบบนี้ ก็ไปว่ามาจะเอาแบบไหน แต่ก็ต้องทำประชามติอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ถ้าไปเขียนตามใจทุกคนจะเอาทางไหนก็ต้องรับหลายทาง ส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงกับไม่เปลี่ยนแปลงมันเท่ากัน ถ้าเอาทุกอย่างมันก็เสียเปล่า ก็ไปตัดสินใจกันให้แน่ว่าจะเอาหรือไม่เอา แล้วจะผิดกติกาสังคมโลกนี้ และมีที่ไหนเขาทำบ้างหรือไม่ก็ไปว่ามา ซึ่งมีหลายตัวที่เราไปสมัครเป็นสมาชิกองค์กรต่าง ๆ ทั้งองค์กรทุจริตคอร์รัปชันต่าง ๆ เยอะแยะไปหมด ไปเอามาดูสิว่าเขาตัดสินเรื่องเหล่านี้อย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการประชุมแม่น้ำ 5 สายจะเร่งรัดเวลาการทำงานแต่ละสายให้ลุล่วงก่อนกำหนดอย่างไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่าเขากำหนดไว้แล้วไม่ใช่หรือ ว่ารัฐธรรมนูญจะต้องเสร็จเมื่อไหร่ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนอยู่แล้ว ตนจะเร่งไปเพื่ออะไร เร่งให้มันเร็วเพื่อที่จะให้เกิดการเลือกตั้งเร็วก็สุดแล้วแต่ท่าน ตนไม่เอาด้วย อย่างหนึ่งก็บอกว่าตนไม่ดูแลแก้ไข อีกอย่างหนึ่งก็ให้เลือกตั้งเร็ว เอ๊ะ มันจะเอาอะไรกันแน่วะ ในเมื่อกฎกติการัฐธรรมนูญเขาเขียนไว้แล้ว มันอะไรกันนักหนา ผมไม่เข้าใจบ้านนี้เมืองนี้ ไม่เข้าใจ จะเอาแต่ตามใจกันหมด ถ้าตนตามใจกลุ่มนี้ อีกกลุ่มก็ไม่เห็นชอบ แล้วเมื่อไรจะลงความเห็นกันได้สักที ว่าจะเอาอย่างไรกันประเทศไทยเนี่ย นั่นแหล่ะเขาเรียกว่าประชาธิปไตย หาทางออกให้ประเทศ หาจุดร่วมกันให้ได้ จุดต่างก็สงวนกันไว้ ไปถกแถลงว่าจะแก้กันอย่างไร ถ้าเอาจุดต่างมาพูดกัน เพื่อหาจุดรวมนั้นมันไม่มีทางหาได้

“ไม่มีผ่านหรอก ผมทำนายไว้เลยไม่ผ่านถ้ายังเป็นแบบนี้ ผมอยากให้ผ่านใครไม่อยากให้ผ่านผมไม่รู้” นายกฯ กล่าว

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการตั้ง กรธ. ที่มี 21 คน นั้นจะทำหน้าที่ได้ครอบคลุมความต้องการของคนทั้งประเทศหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า กรธ.เปิดรับฟังความคิดเห็นทั่วประเทศ โดยที่ผ่านมารัฐธรรมนูญกี่ฉบับที่ร่างมา มีรัฐธรรมนูญประเทศไทย หรือประเทศไหนเคยนั่งร่างพร้อมกัน 70 ล้านคนมีไหม เขาก็ต้องมีคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญออกมา และมีการรับฟังความคิดเห็นระหว่างร่าง และต้องมีการทำประชามติ ขั้นตอนเป็นแบบนี้ จะทำตามใจคนทั้ง 70 ล้านไหวไหมเล่า จะเอาอย่างไรไปว่ามา ซึ่ง กรธ. ก็มีหลักการในการร่างเขียนไว้ 5 ถึง 10 ข้อ นั่นแหล่ะเขาเรียกโลกศิวิไล เขาทำกันแบบนั้น

เมื่อถามว่า กรธ. 21 คน จะเป็นที่ยอมรับจากประชาชนหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ยอมไม่ยอม แล้วคุณยอม ผมหรือไม่ตอนนี้ หรือไม่ยอม ยอมรับคนอื่นเขาเสียบ้าง แล้วตอนนี้มันดีกว่าเดิมไหม ถามสิหรือแย่กว่าเดิม

ผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวตอบกลับนายกฯ ว่า ยังตอบไม่ได้ ต้องรอให้รัฐธรรมนูญเสร็จก่อน จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวอย่างมีอารมณ์โมโหพร้อมสะบัดมือ ว่า “พุทโธ่ กลับไปเลยก่อน 22 พ.ค. ไปเลย ข้างถนนน่ะ ไป๊ ไปอยู่แบบนั้นชอบแบบนั้นก็เอาสิ ไม่สนใจบ้านเมืองจะเป็นอะไรรบกันเรื่องประชาธิปไตย รบกันเรื่องรัฐธรรมนูญ เขียนกฎหมายก็ไม่เคารพนับถือกัน ไม่เคารพกฎหมาย บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ เจ้าหน้าที่ก็เสียหาย ถูกพาดพิง ไล่ตำรวจไล่ทหาร ผมถามว่าที่ผ่านมาการเมืองแก้ได้หรือไม่ ที่ล้มเหลวทุกวันนี้แก้ได้หรือไม่ ผมไม่ได้โมโหหรอก ไม่ได้พูดเสียงดังมานานแล้ว”

ผู้สื่อข่าวถามการตั้ง สปท. ซึ่งมีจำนวนสมาชิกน้อยกว่า สปช. ทั้งที่ สปท. เป็นฝ่ายขับเคลื่อนจะมีกระทบหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คุณยังไม่เข้าใจว่าเขาขับเคลื่อนอะไร ทำงานกันอย่างไรรู้หรือไม่สปท.จะมาทำให้เป็นแผนจัดระเบียบความเร่งด่วนหนึ่ง สอง สาม วิธีการ ซึ่ง สปช. นั้น ไม่ได้ทำ ท่านต้องเข้าใจ อำนาจขับเคลื่อนอยู่ที่ตน และรัฐบาลเขามีหน้าที่เตรียมการปฏิรูปแล้วเสนอมาที่ตน อะไรที่รับได้ก็จะทำในช่วงเวลาที่มีอยู่เป็นการปฏิรูประยะที่หนึ่ง และไม่ได้ทำในสิ่งที่เสียหาย วันนี้กติกาถ้าอยู่ที่ทุกคน ตนไม่ต้องมาอยู่ตรงนี้ก็ได้ ก็ตีกันไปก็แล้วกัน วันนี้ตนเป็นคนคลุมกติกาต้องเคารพตนบ้าง ซึ่งตนไม่เคยไปรังแกใคร รังแกตรงไหนอยากจะรู้เหมือนกัน กฎหมายว่าอย่างไรมาตรา 39 มีหรือไม่ อ่านบ้างหรือเปล่า ไม่อ่านแล้วมาคิดกันเอาเองอยู่อย่างนี้

“เคยห่วงผมบ้างไหม ถ้าผมไม่ทำแล้วจะติดคุกหรือเปล่าในวันหน้าหรือผมจะถูกฟ้องไหม เคยห่วงผมบ้างไหมที่มาทำให้พวกท่าน ไม่เคยห่วงหรอก ก็เขียนกันไปสิ ผมเลือกรังแกโน่นนี่ มีที่ไหนที่จะมายืนตอบคำถามให้ชัดเจนแบบผม มีใครเคยมาพูดแบบผมบ้าง หรือไม่ต้องพูด ชอบเงียบ ๆ” นายกฯ กล่าว

เมื่อถามว่า นายกฯมั่นใจหรือไม่ ว่าสิ่งที่ทำในวันนี้จะไม่ทำให้ติดคุกหลังลงจากอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมไม่กลัว เพียงอยากให้รู้ว่าผมห่วงประชาชนของประเทศ แต่ท่านห่วงผมบ้างไหมผมไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ถ้ากลัวผมไม่ทำอยู่แล้ว เพราะผมทำด้วยกฎหมาย ผมไม่ได้ทำด้วยตัวเองเมื่อไหร่ อยากจะทำอยากจะไล่ล่าคนหรือ มันไม่ได้อยากสักอย่าง แต่ผมต้องทำเพราะกฎหมายเขาเขียนบังคับไว้ว่าต้องทำ ซึ่งจริง ๆ ถ้ามีอำนาจแบบนี้ ไม่ต้องอะไรทั้งสิ้นก็ใช้อำนาจไปเลย ซึ่งผมไม่ได้ใช้แบบนั้นเลย มันต่างจากทุกครั้ง และทุกประเทศในโลกที่เขาปฏิวัติมา มีที่ไหนที่เขาทำแบบผม มานั่งฟังอยู่อย่างนี้ เขาใช้อำนาจทั้งนั้นแหล่ะ ใครผิดก็ลงโทษไป แต่วันนี้ลงโทษแทบไม่มีเลย เว้นแต่มันผิดโดยชัดเจน แต่ก็กลับกลายเป็นว่าผมใช้อำนาจมากเกินไปอีก กฎหมายเขียนว่าอย่างไร ถ้าผิดก็ต้องลงโทษ ไม่เช่นนั้นก็ฝืนกันอยู่อย่างนี้ ถ้าวันนี้ยังใช้กฎหมายไม่ได้โดยที่ผมยังมีอำนาจแบบนี้ วันหน้ากฎหมายอะไรเขียนมาก็บังคับใช้ไม่ได้ รัฐธรรมนูญเขียนมาก็ไม่ได้อีก เชื่อผมสิเพราะมันดื้อได้หมด กลับไปที่เก่าหมด”

นายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้ทำไมสื่อไม่หาจุดร่วมกันบ้าง ที่ประเทศชาติยุ่งมีไม่กี่อย่าง สำคัญที่สุดคือ การสร้างความเข้าใจ สร้างความบิดเบือน อาจจะมีคนไม่กี่คนที่ทำให้บ้านเมืองยุ่งแบบนี้ นั่งเขียนโพสต์ไปโพสต์มาให้มันทะเลาะกันไว้ แล้วสังคมจะเป็นสุขได้ตรงไหน ลูกหลานไม่สงสารเขาเหรอ พ่อแม่หน้าดำ ลูกเรียนหนังสือ บ้างก็ไปติดยา ตนก็เอาทุกปัญหามานั่งคลี่แล้วทำ มันแก้ง่ายนักเหรอ 2 ปีจะเอาอะไรกับตนนักหนา ทำไมไม่มองว่าบ้านเมืองสงบขึ้นไหม สะอาดเรียบร้อยขึ้น และหลาย ๆ อย่างที่พัฒนาขึ้นในทางที่ดี จะดีหรือดีตนไม่รู้แต่ตั้งใจที่จะทำให้ดี


กำลังโหลดความคิดเห็น