“ประยุทธ์” เผยในจดหมายรัฐบาล เปิดบ้านให้ผู้นำทั่วโลกร่วมประชุมให้เห็นว่าปลอดภัยเพราะรู้รักสามัคคีตามแนวทางในหลวง ชี้ความสงบ-รอยยิ้มชี้วัดความสำเร็จ ยกการสร้างพัฒนายั่งยืน เอื้ออาทรกัน เดินด้วยกันไม่ทิ้ง ชงหลักการ “ไทย+1+2+3” แบ่งประโยชน์ น้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงยกระดับเป็นชาติรายได้ปานกลางและนำมาพัฒนา ชี้ต้องเน้นพัฒนาคน ต้านความเลว
วันนี้ (13 ต.ค.) สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้นำจดหมายข่าวรัฐบาลเพื่อประชาชน ฉบับที่ 12 มาแจกจ่ายแก่สื่อมวลชน โดยตอนหนึ่งในคอลัมน์จากใจนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ภายหลังที่ตัดสินใจเข้ามายุติสถานการณ์ความขัดแย้งกันเองของคนในชาติ ที่ลุ่มๆ ดอนๆ มากว่า 10 ปี เพราะยอมไม่ได้ที่จะเห็นบ้านเกิดเมืองนอนของเราตกอยู่ในภาวะประเทศล้มเหลวและนับว่าเป็นเวลา 1 ปีแล้ว ที่อาสาเข้ามาเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านสำคัญของประเทศ ในการวางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการปฏิรูปทุกมิติ และส่งเสริมประชารัฐ เพื่อสร้างประชาธิปไตยในแบบอย่างที่เหมาะสมกับสังคมไทย
เมื่อปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ตนได้มีโอกาสครั้งสำคัญ สำหรับการเปิดประตูบ้านให้ผู้นำประเทศต่างๆเกือบ 200 ประเทศทั่วโลกที่เข้าร่วม การประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 70 และการประชุมสหประชาชาติระดับผู้นำ เพื่อรองรับวาระการพัฒนาภายหลังปี ค.ศ. 2015 ได้เห็นภายในบ้านของเราว่าปลอดภัยขึ้น สะอาดขึ้น น่าอยู่ขึ้น เพราะเรา “รู้รัก สามัคคี” ตามแนวทางในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราปัดกวาดทุจริคคอร์รัปชัน และเราทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย เพื่อสร้างความเข้าใจ ความเชื่อมั่น และให้เห็นความจริงใจของรัฐบาล โดยตัวชี้วัดความสำเร็จ คือ ความสงบเรียบร้อย และรอยยิ้มบนใบหน้าของคนไทย คนรายได้น้อยยิ้มได้เพราะมีงาน มีรายได้ เกษตรกรยิ้มได้ เพราะรัฐไม่โดดเดี่ยว เขาไม่ละเลยปัญหา รัฐใส่ใจดูแลความเดือดร้อนของเกษตรกร และข้าราชการพร้อมทำงานอย่างเต็มที่ เพราะไม่ถูกแทรกแซงและชี้นำ
สิ่งที่ตนแบ่งปันกับผู้นำประเทศต่างๆ ระหว่างการประชุมครั้งนี้ เพื่อสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกับประชาคมโลกมีอยู่ 2 ประการ คือ ประการแรกเราต้องเอื้ออาทรต่อกัน ลดความหวาดระแวง เดินไปด้วยกัน ไม่มีใครนำ ไม่มีใครตาม ไม้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ไม่มีความแตกต่าง ไม่มีช่องว่างระหว่างกัน โดยตนเสนอหลักการ “ไทย+1+2+3” คือ เราและเพื่อนเรา จะได้รับการแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันเสมอ และแสดงให้เห็นว่าเราพร้อมเป็นสะพานเชื่อมไทย-ภูมิภาค-ประชาคมโลก ให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ประการที่ 2 ได้เล่าที่มาความสำเร็จที่ประเทศไทยสามารถยกระดับตนเองจากประเทศที่มีรายได้ต่ำ ขึ้นมาเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับบนได้อย่างก้าวกระโดด ด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงคือ ความพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน อันมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยรัฐบาลส่งเสริมให้ประชาชนได้นำไปยึดถือเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตประจำวันด้วย
ตนอยากย้ำว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนต้องเน้นการพัฒนาคนโดยเริ่มที่จิตใจ นอกจากต้องศรัทธาในความดีแล้ว เรายังต้องไม่ยอมรับความเลว ที่สำคัญเราต้องเห็นประโยชน์ส่วนรวมเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตัว
ขณะที่คอลัมน์วาทะนายกรัฐมนตรี ได้นำถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรีตอนหนึ่งในการเสวนาระดับผู้นำในหัวข้อ “ยุติความยากจนและความหิวโหย” ในการประชุมใหญ่สหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา นำมาเผยแพร่ว่า “แนวทางการพัฒนาประเทศของไทยได้รับแรงบันดาลใจจากปรัชาญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน และทั่วถึง ขณะเดียวกันต้องเสริมสร้างพื้นฐานทางด้านจิตใจของคนในชาติ ในทุกระดับ”