xs
xsm
sm
md
lg

“แม้ว” ฝันค้าง “ประยุทธ์” เมินนิรโทษฯ กร้าวใส่พวกหนีคดี-อย่าขู่ !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

กลายเป็นว่าหากมีจังหวะเปิดช่องให้มีเวทีเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ตามก็จะมีรายการประเภทเสนอขอนิรโทษกรรมให้กับพวกที่ทำผิดอาญาที่เกี่ยวข้องทางการเมืองเป็นระยะ ล่าสุด ก็มีรายการโยนหินถามเข้ามาตั้งแต่ไก่โห่ นั่นคือ ข้อเสนอจาก สมพงษ์ สระกวี สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ระหว่างการรายงานตัวทำหน้าที่ โดยเสนอให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับบุคคลที่ต้องคดีที่เกี่ยวข้องทางการเมือง โดยเฉพาะกลุ่มชาวบ้านทั่วไป ไม่รวมพวกแกนนำ ไม่รวมคดีทุจริต รวมทั้งไม่รวมคดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดมาตรา 112

อ้างว่าเพื่อให้บ้านเมืองเกิดความปรองดอง และที่ผ่านมา ก็เคยทำแบบนี้มาหลายครั้ง ตั้งแต่ยุค 14 ตุลาคม 16 ยุค 6 ตุลาคม 19 รวมทั้งเหตุการณ์พฤษภาคมปี 35 ฟังดูเผิน ๆ ก็น่าจะคล้อยตาม เพราะพวกชาวบ้านไม่น้อยที่ถูกชักจูงมาแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ และประเภทที่ทำความผิดฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉิน พ.ร.บ. ความมั่นคง คนพวกนี้สมควรปล่อยไปให้ทำมาหากิน ได้อยู่กับครอบครัว มันก็น่าจะใช่ แต่เดี๋ยวก่อนพี่น้อง หากพิจารณากันในรายละเอียดถือว่า “มีที่มาที่ไป” ต่างกันอย่างสิ้นเชิง และคนที่เสนอเรื่องนี้เข้ามาหากพิจารณาจากภูมิหลังก็ล้วนเป็นพวกเดียวกัน หรือเป็น “ลูกน้อง” ของคนที่บงการให้กระทำความผิด

ขณะเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบบุคคลและเหตุการณ์ในอดีตถือว่าแตกต่างกันอย่างลิบลับ โดยเฉพาะในเรื่องของ “ความบริสุทธิ์ใจ” ถามว่า นักศึกษาที่ต่อสู้กับเผด็จการทหารในยุค 14 ตุลา ปี 16 ยุค 6 ตุลา ปี 19 และเหตุการณ์ต่อสูัเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 35 เทียบกับการต่อสู้ของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า นปช. หรือคนเสื้อแดงที่ในปัจจุบันแปลงสภาพเปลี่ยนหน้ามาเป็น จตุพร พรหมพันธุ์ กับคณะในวันนี้ ถามว่าคนพวกนี้เขาสู้เพื่อใคร พวกเขาสนับสนุนอำนาจของพรรคการเมืองใด คนในครอบครัวใด หรือแม้แต่คนที่เสนอให้นิรโทษกรรมคราวนี้ คือ สมพงษ์ สระกวี ก็ยังสนับสนุนคนเสื้อแดง เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ยังค้อมหัวแทบจะถึงเท้าของ ทักษิณ ชินวัตร ด้วยซ้ำไป

ถามว่า เหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อปี 51 - 52 - 53 มันเทียบเบื้องหน้าเบื้องหลังกับเหตุการณ์ในอดีตก่อนหน้านี้ได้สักกี่มากน้อย

คำถามก็คือข้อเสนอแบบนี้ขึ้นมาก็ย่อมหมายถึงการ “หมกเม็ด” เข้ามาด้วย นั่นคือ หากมีการนิรโทษกรรมชาวบ้านที่ไม่รวมแกนนำแล้วในความเป็นจริงก็เป็นไปไม่ได้ที่กฎหมายจะเขียนชื่อเจาะจงว่าให้ละเว้นโทษคนนั้นคนนี้ต้องมีการ “ระบุยกเว้นความผิด” เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีพวกแกนนำติดกลุ่มเข้าไปด้วยอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี หากพิจารณาตามความเป็นจริงหากเป็นประเภทความผิดที่ฝ่าฝืนพ.ร.ก. ฉุกเฉิน พ.ร.บ. ความมั่นคงอะไรประเภทนี้ที่ผ่านมาศาลก็เมตตารับรู้อยู่แล้วส่วนใหญ่แทบทั้งหมดก็รอลงอาญา หรือหากจำคุกก็ไม่กี่เดือนเมื่อเวลาล่วงเลยมาแบบนี้เชื่อว่าทั้งหมดคงพ้นโทษกันหมดแล้ว ยังเหลือแต่พวกที่ “เผาศาลากลาง” ครอบครองอาวุธสงคราม คดีความมั่นคงอื่น ๆ คนพวกนี้คงให้เหมารวมไม่ได้เป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดาหรือใครก็ตาม แต่ต้องให้คดีเดินไปจนถึงที่สุดเสียก่อน ตามกระบวนการยุติธรรม สุดท้ายจะผิดหรือม่ผิดก็ค่อยว่ากันไป ซึ่งมันก็น่าจะยุติธรรมกับทุกฝ่ายไม่ใช่หรือ

แต่ปัญหาสำคัญก็คือ มันยังมีอีกพวกหนึ่งที่ทำตัวเป็น “อภิสิทธิ์ชน” ไม่ยอมรับกฎหมายไม่ยอมรับศาล แต่ไม่ยอมรับความผิดแล้วหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ คนพวกนี้ต้องการให้มีการนิรโทษฯแล้วกลับเข้ามาอย่างเท่ ๆ ซึ่งก็คือ ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ ที่ผ่านมาก็เกือบใช้เครือข่ายอำนาจในรัฐบาล “หุ่นเชิด” ของตัวเองในยุค ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกกฎหมาย “ล้างความผิดแบบเหมาเข่ง” ในชื่อ กฎหมายนิรโทษกรรมมาแล้ว รวมไปถึงแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบ “ลักหลับ” กลางดึกมาแล้ว แต่ไม่สำเร็จ

มาคราวนี้ก็ยังพยายามอีกโดยใช้เครือข่ายที่ยังมีอยู่มากมายฉวยจังหวะแบบเดิมอีก แต่ก็เชื่อเถอะไม่มีทางสำเร็จหรอก เพราะชาวบ้านรู้ทันและไม่เอาด้วย

ขณะเดียวกัน น่าสนใจก็คือ ท่าทีของผู้นำที่กุมอำนาจสูงสุดในปัจจุบัน คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ “ไม่เอาด้วย” และเคยประกาศให้ทราบไปแล้ว คราวนี้ก็ยังย้ำจุดเดิมคือ ทุกอย่างต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมเสียก่อน จากนั้นค่อยมาว่ากันว่าจะนิรโทษฯอย่างไร และที่เน้นย้ำก็คือ “คนที่หลบหนีคดี” จะไม่มีทางได้รับการอภัยโทษฯ และไม่ต้องมาข่มขู่

“สำหรับการปรองดองของคดีที่ว่ากันในเรื่องนิรโทษกรรมที่พูดกัน ผมยังไม่รู้ว่าจะไปได้แค่ไหน แต่ผมวางเป้าหมายหลัก ๆ ไว้ หนึ่งสองสาม โดยระยะที่หนึ่ง คือ คนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และมีการตัดสินแล้ว อันนี้ต้องพิจารณาก่อน อันที่สองที่กำลังอยู่ในกระบวนการเมื่อได้ข้อยุติมาแล้วก็นำมาพิจารณาต่อ ส่วนที่สามใครที่ยังหลบหนีอยู่ไม่เข้ากระบวนการยุติธรรมก็ปรองดองไม่ได้อยู่แล้ว มันต้องเอากฎหมายมาเป็นเกณฑ์ไม่ใช่เอาตามความพอใจ ผมไม่ชอบให้ใครมาขู่ว่าถ้าไม่ปรองดองแล้วไม่สงบ ก็ลองดูสิ กฎหมายเขามีไว้ทำอะไร มีไว้ให้ดูถูก มีไว้ให้เล่นเหรอ”

นั่นคือ คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ยืนยันท่าทีชัดเจนอีกรอบ และส่งสัญญาณไปถึงคนแดนไกลอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ว่าอยากปรองดองก็กลับมาสู้คดี เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อย่าขู่ เพราะถึงขู่ก็ไม่กลัว !!
กำลังโหลดความคิดเห็น