“ประยุทธ์” ประชุม กนพ.ขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ กำชับต้องสอดรับแผนพัฒนาชาติ และโยงไปสู่รายได้ของคนในพื้นที่ เตือนในอนาคตปัญหาน้ำจะเป็นเรื่องสำคัญในภาคเกษตร ฝาก คกก.ทรัพยากรน้ำ หาวิธีแก้แล้ง แนะสร้างคลังน้ำ เจาะบ่อบาดาล หรือดึงน้ำทะเลมาเก็บให้จืด ส่วนเรื่องกองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้าน เชื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เกิดการจ้างงาน ดีกว่าให้ฟรีเหมือนที่ผ่านมา
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงภายหลังการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ 4/2558 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ว่าการประชุม กนพ.มีหลายงานที่ได้สั่งการไปแล้ว เช่น เรื่องของการขับเคลื่อนในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ในเรื่องของการจัดหาพื้นที่ การกำหนดสิทธิประโยชน์ทั้งด้านกฎหมาย และด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือบีโอไอ ที่จะมีรายละเอียดออกมาอีกครั้ง ทั้งหมดมีความก้าวหน้าตามลำดับ แต่สิ่งที่สำคัญคือทำอย่างไรที่จะให้เศรษฐกิจในท้องถิ่นดีขึ้น ทั้งการเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมที่ส่งเสริมให้ตรงต่อความต้องการของประเทศด้วยการให้สิทธิประโยชน์สำหรับการลงทุนนอกพื้นที่ที่กำหนดไว้ และการลงทุนในพื้นที่ที่เป็นคลัสเตอร์ และซูเปอร์คลัสเตอร์ซึ่งประกอบด้วยกิจการที่หลากหลาย
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในระยะแรกมีทั้งหมด 6 พื้นที่ ที่บางพื้นที่ไม่สามารถทำได้ในบางกิจกรรม แต่สิ่งสำคัญที่เน้นย้ำ คือ 1. เรื่องการปรับปรุงพื้นที่ให้ชุมชนและภูมิภาคมีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งด้านการเกษตรที่จะต้องลดต้นทุนให้ได้ที่ต้องสอดคล้องกับเรื่องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของเกษตรกรที่ต้องลดต้นทุนให้ได้
2. ต้องหารายได้เสริมให้กับครัวเรือน ที่มาจากกิจกรรมของแต่ละพื้นที่ของบีโอไอ อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษคือปัญหาเรื่องที่ดินที่บางพื้นที่ต้องใช้ที่ดินของราชพัสดุและของราชการบ้าง แต่ปัญหาคือบางพื้นที่ถูกบุกรุกที่ผิดกฎหมาย ที่ต้องหาทางออกและจะดูแลประชาชนได้อย่างไรที่ไม่เป็นการส่งเสริมการบุกรุก แต่ต้องหาวิธีดูแลเช่นเดียวกับคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ โดยคนที่บุกรุกต้องยื่นขอใช้ประโยชน์ด้วยการเช่าให้ถูกต้อง แต่พื้นที่เหล่านั้นต้องเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมแล้วเท่านั้น เพราะรัฐบาลต้องการบรรเทาความเดือดร้อนทั้งหมด
“ในการทำงานเรื่องนี้ที่ทำให้ปวดหัว คือ การที่จะต้องบูรณาการงานหลายงานเข้าด้วยกัน เพราะพูดว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้วไม่ใช่ว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งหมด แต่โยงไปสู่ความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ที่เกี่ยวกับอาชีพ รายได้ ที่อยู่ ที่ทำกินทั้งหมดที่ต้องเคลื่อนที่ไปด้วยกันข้างหน้าทั้งหมดซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของแต่ละจังหวัดดีขึ้น”
นายกฯ กล่าวว่า การทำเขตเศรษฐกิจพิเศษจะต้องมีการควบคุมอุปสงค์และอุปทานด้วยเพราะเราต้องใช้ในประเทศและการส่งออก เพราะถ้าผลิตเหมือนกันตรงกันทั้งหมดก็ไม่รู้จะนำไปขายให้ใคร ดังนั้นเรื่องนี้ต้องสอดรับกับแผนใหญ่คือแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้วย เพื่อกำหนดอุปสงค์และอุปทานในแต่ละเรื่องว่าจะกำหนดอย่างไร ทั้งเรื่องของการเกษตรและอุตสาหกรรมทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ แต่ทั้งนี้ต้องเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
“อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนทุกพื้นที่ให้ความร่วมมือให้ความเข้าใจว่าถ้าทุกคนคัดค้านแล้วจะเอาอะไร การเกษตรทำไม่ได้ผลมากนักเพราะว่าน้ำมีปริมาณน้อย จึงถามว่าจะอยู่อย่างไรต่อไปถ้าไม่มีอุตสาหกรรมย่อยเข้าไปบ้าง อุตสาหกรรมหลักเข้าไปบ้าง แต่ต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ท่านต้องเข้าใจประเด็นนี้ อย่าให้ไปปลุกปั่นเลย เรื่องจัดที่ดินทำกินเหมือนกันถ้าทุกคนจะขอทั้งหมดจะหาที่ดินที่ไหนมาให้ วันนี้ก็ไม่พออยู่แล้ว แต่ก็ต้องดูแลว่าจะทำอย่างไร แต่ก็ต้องดูแลให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่ทุกคนต้องมีสิทธิ แต่สิทธิที่ว่าต้องเป็นไปด้วยความถูกต้องตามกฎหมาย และเมื่อให้ไปแล้วก็อย่านำไปใช้หรือขายให้คนอื่นแล้วตัวเองก็ไปบุกป่าใหม่ เพราะปัญหาจะเกิดขึ้นอีก”
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า ปัญหาของการเกษตรในวันข้างหน้าจะเกิดปัญหาเรื่องน้ำ ที่เกิดขึ้นแล้วสำหรับการทำการเกษตร แต่จะเกิดขึ้นกับการอุปโภคการกินการใช้ที่จะน้อยลงอีก จึงต้องเตรียมการตั้งแต่วันนี้
“วันหน้าต้องทำเหมืองน้ำกันหรือเปล่า ต้องหาคนมาลงทุนเรื่องเจาะน้ำใต้ดินเก็บไว้เป็นคลังน้ำ เอาน้ำทะเลมาเก็บแบบต่างประเทศหรือไม่ เอามาเก็บให้มันเย็นให้มันจืดใน 30-50 ปีข้างหน้า มันมีตัวอย่างอยู่แล้ว เดี๋ยวคณะกรรมการทรัพยากรน้ำฯ ก็ต้องคิดกัน ถ้าฝนไม่ตกจะทำอย่างไร นี่แหละคือสิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำแบบนี้ ทำให้เกิดความยั่งยืนในการบริหารจัดการน้ำในอนาคตด้วย ผมก็จะทำเอาไว้ ต่อไปก็จะเป็นเรื่องของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะทำก็แล้วกัน”
สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในโครงการกองทุนหมู่บ้าน กองทุนละ 1 ล้านบาทที่มีคนตั้งข้อสังเกตของความคุ้มค่าในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น นำไปใช้ในเรื่องของการทาสีจะต้องทบทวนหรือไม่นั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มันจะไม่คุ้มค่าด้วยเรื่องอะไร แล้วเขากระตุ้นสีหรือกระตุ้นอะไร ความมุ่งหมายเขาต้องการนำไปจ้างงานคน ถ้านำไปใช้ใหญ่โตถามว่ามันได้หรือไม่ เพราะเรื่องนั้นมีงบขนาดใหญ่ในงบที่มีฟังก์ชันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการต่อเติมโรงพยาบาล 30-40 ล้านบาท ขอในงบประมาณปกติได้อยู่แล้วที่มีงบกลางฯ เข้ามาใน ครม.ตามปกติ แต่มันไปได้ช้าเพราะช่วงนี้มีปัญหาเพราะเกิดภัยแล้งตั้งแต่ตุลาคมนี้ไปจนถึงเมษายนปีหน้า จึงมีการดันโครงการขนาดเล็ก 1 ล้านบาทที่นำงบกลางมาทำเป็นการเพิ่มจากงบปกติ
“มันจะไม่ดีตรงไหน มันจะไม่คุ้มค่าตรงไหน แต่วัตถุประสงค์คือขับเคลื่อนแรงงาน ขับเคลื่อนงานในท้องที่ เข้าใจไหม ให้ประชาชนในพื้นที่มีงานทำ ที่ด้านการเกษตรก็มี จ้างงานไปขุดบ่อ ขุดจอกแหนก็มี ซึ่งต้องแลกด้วยแรงงานไม่ใช่จ่ายฟรีๆ เหมือนที่เคยจ่ายกันมา แล้วมันไม่คุ้มตรงไหน แล้วที่ผ่านมาคุ้มไหมล่ะ”