..
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและคณะได้เดินทางไปเยือนราชอาณาจักรบาห์เรน ตามคำเชิญของท่านนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นโอกาสครบรอบ 40 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศ ที่มีความแน่นแฟ้นมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ในระดับพระราชวงศ์ โดยปวงชนชาวไทยมีความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบาห์เรน ได้ทรงมีข้อความพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และได้ทรงมีข้อความพระราชสาส์นถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในโอกาสขึ้นทรงราชย์
สำหรับนายกรัฐมนตรีบาห์เรน ได้เสด็จมาถวายความอาลัยต่อการสวรรคตด้วยเช่นกัน ในการเยือนครั้งนี้นอกจากจะได้รับพระราชอนุญาตให้เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบาห์เรนแล้ว ยังได้มีโอกาสหารือทวิภาคีแบบเต็มคณะ โดยได้รับทราบถึงนโยบายอีโคโนมิควิชั่น 2030 ของบาห์เรน ซึ่งสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบาห์เรน ได้ทรงมีบทบาทสำคัญในการริเริ่มวิสัยทัศน์ดังกล่าว เพื่อความมั่งคั่งของชาวบาห์เรนบนพื้นฐานความยั่งยืน ความเป็นธรรม และการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของเรา ซึ่งมุ่งเน้นความรู้ เทคโนโลยี การสร้างสรรค์ และนวัตกรรม เพื่อสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนเช่นกัน ให้กับประเทศชาติ และประชาชนชาวไทย ได้มีการหารือในหลายๆ ด้าน ได้มีพิธีลงนามความตกลงระหว่างราชอาณาจักรทั้งสอง จำนวน 3 ฉบับ เกี่ยวกับความร่วมมือด้านการเกษตร การเว้นการเก็บภาษีซ้อน และการป้องกันการเรียกรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ และการส่งเสริมให้แพทย์ผู้ชำนาญการของไทย ได้เข้าร่วมโครงการ Visiting Doctor Programme ของบาห์เรน ซึ่งในอนาคตประเทศไทยก็หวังว่า จะมีโอกาสได้ต้อนรับท่านนายกรัฐมนตรีบาห์เรนอย่างอบอุ่น เหมือนที่เราได้รับในครั้งนี้เช่นกันนะครับ ซึ่งเป็นการสานต่อมิตรภาพอันดีระหว่างกันในทุกระดับให้ยั่งยืนต่อไป
พี่น้องประชาชน และผู้ใช้แรงงาน ซึ่งเป็นผู้ร่วมสร้างชาติทุกท่านครับ วันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันแรงงานแห่งชาติ ตรงกับวันกรรมกรสากล หรือ May Day ของโลก แรงงานถือเป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการผลิตห่วงโซ่คุณค่าในระบบเศรษฐกิจ โดยพลังของผู้ใช้แรงงานจะแฝงอยู่ในผลผลิตทุกชิ้น ดังนั้นความมั่นคงก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศ จะมีส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับพี่น้องแรงงานทุกประเภททั้งแรงงานในระบบ ที่เรียกว่ามนุษย์เงินเดือน และแรงงานนอกระบบ แรงงานอิสระ ที่มีราว 2 ใน 3 ของแรงงานทั้งหมด เช่น คนงานที่เอางานมาทำที่บ้าน แรงงานรับจ้างทำการเกษตร เกษตรกร ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ ที่เป็นแรงงานตามฤดูกาล และแรงงานประมง คนทำงานบ้าน รับจ้างทั่วไป แม่ค้าหาบเร่แผงลอย ช่างเสริมสวย ช่างทำผม เหล่านี้เป็นต้น
แรงงานนอกระบบเหล่านี้ ส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีรายได้น้อย รายได้ไม่แน่นอน ไม่มีความมั่นคง หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ และคุ้มครองจากรัฐบาล ทั้งด้านกฎหมายแรงงาน ประกันสังคม และสวัสดิการอย่างอื่นแล้ว ก็ย่อมจะส่งผลกระทบทั้งในวิถีสังคม และความมั่นคงตามมาอีกด้วย ดังนั้นผมเห็นว่า การจัดให้มีฐานข้อมูลกลาง ข้อมูลแรงงาน ข้อมูลประชากรของประเทศ จึงมีความจำเป็นอย่างมาก ที่จะช่วยให้รัฐบาลและทุกหน่วยงานสามารถนำไปกำหนดเป็นนโยบายสาธารณะได้อย่างเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งแรงงานกลุ่มต่างๆ และแรงงานคนพิการของไทย รวมถึงแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่ได้มีการลงทะเบียนจัดทำฐานข้อมูลไปแล้ว
นอกจากนี้ ฐานข้อมูลเหล่านี้จะช่วยในการจัดระบบให้เป็นระเบียบ สำหรับการบริหารจัดการ เพื่อให้ประเทศสามารถใช้ศักยภาพจากทรัพยากรมนุษย์ หรือแรงงานของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย ที่ผ่านมาปัญหาแรงงานไทย นอกจากการถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้างด้านผลประโยชน์ ค่าตอบแทน และสวัสดิการแล้ว ก็ยังคงมีเรื่องปัญหาปากท้อง การบริการสุขภาพ ที่อยู่อาศัย การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการศึกษาอีกด้วย ซึ่งรัฐบาลนี้ได้ให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาเหล่านั้น เพื่อให้เกิดความมั่นคง และยั่งยืนแก่พี่น้องแรงงานทุกประเภท โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบที่มักจะเป็นประชากรระดับฐานราก และผู้มีรายได้น้อย
ดังนั้น จึงมียโยบายสาธารณะต่างๆ ออกมาเป็นจำนวนมาก ในช่วง 2 ปีกว่านี้ ผมอยากจะทบทวนให้ทราบอีกครั้ง เช่น ด้านสุขภาพได้แก่ 1.การแพทย์ฉุกเฉิน 72 ชั่วโมงแรกให้พ้นวิกฤต ที่ผู้ป่วยอยู่ในช่วงได้รับอันตรายถึงชีวิตได้ทุกโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลของรัฐหรือเอกชน ซึ่งเป็นการก้าวข้ามกำแพงสิทธิประเภทต่างๆ ไม่ว่าประกันสังคม หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กองทุนอื่นๆ หรือแม้จะไม่มีสิทธิใดๆ โดยรัฐบาลได้รักษาไว้ซึ่งสิทธิขั้นพื้นฐานของพี่้น้องคนไทยทุกคน ทุกสาขาอาชีพ ข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามได้ที่สายด่วน 1669 และ 2.คลินิกหมอครอบครัว เป็นการปฏิรูประบบสาธารณสุขไทย เน้นมาตรการเชิงป้องกันมากกว่ารักษา ที่พักมีราคาแพงกว่า ด้วยการสร้างระบบเครือข่ายแพทย์ปฐมภูมิไปทั่วประเทศ จนเข้าถึงทุกครัวเรือน จำนวน 6,500 ทีม ในปี 2570 เหล่านี้เป็นต้น
ด้านสวัสดิการสังคม ได้แก่ 1.กองทุนการออมแห่งชาติ สำหรับประชาชน และพี่น้องแรงงานที่มีอยู่ในกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ที่เรียกว่า กบข. หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กสร. หรือกองทุนประกันสังคม 2.กองทุนยุติธรรมจะช่วยเหลือในเรื่องคดีความ การให้ความรู้ทางกฎหมาย หรือการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน และ3.การลงทะเบียนเพื่อรับสวัสดิการภาครัฐที่จะปิดลงทะเบียนในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ โดยมีมาตรการลดค่าครองชีพ สำหรับแรงงานที่เป็นผู้มีรายได้น้อย ให้มีส่วนลดค่าน้ำ ค่าไฟ หรือค่ารถ ขสมก.สำหรับแรงงานในประเทศ หรือท่ารถ บขส.สำหรับพี่น้องต่างจังหวัดเหล่านี้เป็นต้น ใครที่อยู่ในเขตดังกล่าวขอให้รีบๆ มาลงทะเบียนกันนะครับ และด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน ความมั่นคงในอาชีพ เช่น 1.ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย 2.การสร้างระบบมาตรฐานแรงงาน จะช่วยกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน เพื่อรองรับ 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายแรงงาน และ 3.การส่งเสริมอาชีวศึกษา ระบบทวิภาคีภายใต้กลไกประชารัฐ เป็นต้น
ที่กล่าวมาเป็นการบูรณาการหน่วยงาน และการสร้างระบบตลาดแรงงานที่สอดคล้องกันฝั่งดีมานด์ก็คือ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ และฝั่งซัพพลายคือ กระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงแรงงานให้รองรับการก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 นั่นเอง ทั้งนี้ในอนาคต เราจะต้องยกระดับจากผู้ใช้แรงงานเป็นผู้ใช้พลังสมอง หรือที่เรียกว่าจากแมนพาวเวอร์สู่เบรนพาวเวอร์ ผมอยากให้ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญ กับการพัฒนาตนเอง โดยเริ่มจากตนเองว่าตนเองนั้นมีความสำคัญกับการพัฒนาประเทศเท่าเทียมกัน ซึ่งคงจะค่อยๆ ยกระดับตนเองเป็นแรงงานมีฝีมือ แรงงานคุณภาพ แรงงานที่มีนวัตกรรม และแรงงานที่มีความคิดสร้างสรรค์ให้ได้ โดยจะต้องรู้จักประยุกต์ การใช้เทคโลยีที่ทันสมัยอย่างเหมาะสมด้วย
พี่น้องประชาชนที่รักครับ นโยบายไทยแลนด์ 4.0 และเป็นการปฏิรูประบบเศรษฐกิจของประเทศ เราออกแบบมาเพื่อการปรับเปลี่ยนจากการเป็นประเทศที่มีพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมหนัก และการส่งออกไปมุ่งเน้นการวิจัย และนวัตกรรม ซึ่งมีหลายประเด็นที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ไปพร้อมๆ กัน เพื่อจะให้เกิดความสำเร็จ หรือเรียกว่าให้ยั่งยืนให้ได้เร็วๆ เช่น 1.ประเด็นการขับเคลื่อนและการบริหารจัดการ ผมถือว่านโยบายนี้เป็นวาระเร่งด่วนของประเทศ จึงได้พัฒนากลไกการบริหารจัดการนี้ขึ้น ก็คือ ป.ย.ป.ที่เรียกว่าคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน ตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง เพื่อจะกำกับดูแลให้เกิดผลเป็นรูปธรรม อันประกอบไปด้วย การเตรียมคนไทยไปสู่ศตวรรษที่ 21 การบ่มเพาะผู้ประกอบการ และพัฒนาเครือข่ายวิสาหกิจ ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม การพัฒนาคลัสเตอร์เทคโนโลยี และ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศ ผ่านกลไก 6 ภาค 18 กลุ่มจังหวัด และ 76 จังหวัด การบูรณาการอาเซียน และเชื่อมประเทศไทยสู่ประชาคมโลก และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ ที่จับต้องได้ ที่เราคุ้นเคย รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จับต้องไม่ได้ ทางปัญญา และทางสังคมที่มักจะถูกมองข้ามแต่ก็ต่างมีความสำคัญสำหรับการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย
2.ประเด็นความพร้อมด้านการพัฒนาแรงงาน หรือทรัพยากรมนุษย์ ผมถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการนำพาประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ทั้งนี้คนไทย 4.0 ก็คือคนในศตวรรษที่ 21 ที่จะต้องมีทักษะความรู้ ความคิดวิเคราะห์ และความสามารถโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้าน STEM ที่เรียกว่า สเต็ม ที่ผมเคยได้กล่าวไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษาตลอดจนพ่อแม่ผู้ปกครองต้องร่วมมือกันพัฒนาคนไทย เยาวชนไทย เพื่อให้พร้อมรองรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลก และสอดคล้องกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศที่จะมุ่งไปสู่เทคโนโลยี และนวัตกรรม ยึดหลักการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์ นำไปสู่การปฏิบัติให้เป็นผลเป็นรูปธรรม และคำนึงถึงส่วนรวม มีจิตสาธารณะ
3.ประเด็นการยกระดับการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการทำธุรกิจในประเทศ ซึ่งนอกจากจะเป็นการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการประกอบธุรกิจให้ได้รับความสะดวกรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว เราจะต้องปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบและขั้นตอนต่างๆของราชการเพื่อจะสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุน รวมทั้งการปฏิรูปการบริหารงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้แก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆของภาคธุรกิจ เช่น ผลักดัน พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ และการปรับปรุงการบริการภาครัฐโดยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ให้การทำงานมีประสิทธิภาพเพื่อให้ภาคธุรกิจที่เป็นกลไลขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ได้รับความสะดวกรวดเร็ว ไม่ทุจริตคอร์รัปชัน และมีธรรมาภิบาลยิ่งขึ้น
4.ประเด็นการส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีจากนักลงทุนต่างชาติ ทั้งนี้ เราไม่อาจจะเพิ่มศักยภาพของคนไทย หรือยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างยั่งยืน ถ้าเรามัวแต่อาศัยเทคโนโลยีที่คนอื่นเขาคิดขึ้น โดยไม่พยายามยืนบนลำแข้งของตนเองให้ได้ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมของเราเอง ดังนั้นรัฐบาลจึงได้ผลักดันกฎหมายด้านการลงทุน 2 ฉบับ คือ การปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน และ พ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งนอกจากจะช่วยดึงดูดการลงทุนที่มีมูลค่าสูงจากต่างประเทศแล้ว ยังส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี เกิดหุ้นส่วนเทคโนโลยีอุตสาหกรรมระหว่างภาครัฐกับเอกชน ไทยกับต่างประเทศ และมหาวิทยาลัยไทยกับต่างประเทศ รวมทั้งจะดึงดูดทรัพยากรบุคคลที่มีความสามารถสูงจากต่างประเทศมาช่วยเป็นกำลังเสริมในการพัฒนาบ้านเมืองเรา และทำให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับคนไทยอีกด้วย โดยจะอำนวยความสะดวกด้านวีซ่า และใบอนุญาตให้ทำงาน การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกลุ่มนักวิจัยหรือผู้เชี่ยวชาญชั้นนำจากต่างประเทศในสาขาที่ไทยต้องการ และการจัดตั้งศูนย์บริหารทาเลนท์ เป็นต้น
ทั้งนี้ ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเชิงพื้นที่ ซึ่งจะเน้นการกระจายความเจริญไปยังพื้นที่ต่างๆในประเทศอย่างทั่วถึง อันจะเป็นส่วนสำคัญในการลดปัญหาสังคมในเขตเมือง และปัญหาครอบครัวในต่างจังหวัด ที่เป็นต้นตอของอีกหลายปัญหาในประเทศตามมา โดยมีแนวททางการพัฒนาเชิงพื้นที่ที่สำคัญ ได้แก่ แผนพัฒนาระดับภาค กลุ่มจังหวัด การจัดตั้งอินโนเวชันฮับ กระจายตามภูมิภาคต่างๆ การพัฒนาพื้นที่บริเวณชายแดน ที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านในรูปแบบของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ตามแนวคิด เราจะเข้มแข็งไปด้วยกัน และเราจะไม่ทิ้งใครไว้ที่หลัง โดยอาศัยความสัมพันธ์ในลักษณะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับประเทศเพื่อนบ้าน CLMV และขยายออกไปในระดับ AEC และอีกนโยบายที่สำคัญก็คือ EEC การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าหมายให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่ดีที่สุด และทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน สำหรับเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในหลายๆด้าน ทั้งการประกอบธุรกิจ การเงิน การวิจัย และพัฒนา การซ่อมอากาศยาน และการซ่อมบำรุง การท่องเที่ยว เป็นต้น
โดยใน 5 ปีแรกนี้ คาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC ของทั้งภาครัฐ และเอกชน รวมประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท ผมก็อยากให้จินตนาการกันต่อไปว่า 10 ปี 20 ปีข้างหน้า หากเราร่วมมือกันทุกฝ่าย ทุกคนเตรียมความพร้อมของตัวเองแล้วตามที่ผมกล่าวไป ประเทศไทยก็จะมีความโดดเด่นในภูมิภาคตามที่เรามุ่งหวังได้ ขอความร่วมมือ ความเข้าใจจากประชาชนด้วย
พี่น้องประชาชนที่เคารพ วันนี้เราพูดได้ว่าเศรษฐกิจของไทยก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถ้าพี่น้องประชาชนลองมองย้อนกลับไปปี 2557 เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เพียงร้อยละ 0.8 และปรับดีขึ้นต่อเนื่องเป็นร้อยละ 2.8 ในปี 2558 และ 3.2 ในปี 2559 ที่ผ่านมา ในปีนี้หากโครงการต่างๆคืบหน้าไปตามแผนที่วางไว้ เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้นอีกที่ประมาณ ร้อยละ 3.5 ซึ่งก็ถือเป็นการค่อยๆฟื้นตัวขึ้นจากปัญหาความไม่แน่นอนต่างๆของประเทศ และภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมาอย่างชัดเจน แม้ว่าจะยังไม่ได้กลับมาขยายตัวสูงเท่ากับในอดีต แต่ก็สะท้อนว่าเรามีโอกาสจะฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพและยังน่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในวันข้างหน้า หากเราค่อยๆช่วยกัน ฟิตร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
สำหรับในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดี เราได้เห็นจากการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่องและเริ่มขยายตัวมากขึ้นในหลายหมวดสินค้า โดยมีมูลค่าสูงกว่า 700,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่าร้อยละ 10 สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ผ่านมา นอกจากนี้ รายได้เกษตรกรในเดือนมีนาคมปีนี้ เมื่อเทียบกับปีก่อน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 จากทั้งผลผลิต และสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้รายได้ครัวเรือนและความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลดีต่อการบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะการตัดสินใจซื้อสินค้าคงทน มีราคาสูง เช่น รถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ซบเซาเป็นเวลานาน สำหรับการค้าขายของภาคธุรกิจมีการขอจดทะเบียนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละะ 10 ซึ่งสะท้อนกว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เอกชนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น
ทั้งนี้ หากเราต้องการที่จะกลับไปโตได้ในอัตราสูงๆ แบบเดิม เราต้องเร่งให้เกิดการปฏิรูปเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลนี้ ได้เริ่มขับเคลื่อนบ้างแล้ว แต่ต้องเดินหน้าต่อเนื่อง ตัวอย่างหนึ่งคือการเร่งให้เกิดอีอีซี ที่จะช่วยวางรากฐานในอนาคตของการผลิต การค้า และยกระดับพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศเรื่องเหล่านี้ต้องใช้เวลานานพอสมควรจะเห็นผล ซึ่งต้องร่วมมือร่วมใจจากทั้งภาคเอกชน และประชาชน เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เกิดการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความพยายามเหล่านี้ที่ผ่านมา อาจมีหลายพวกหลายฝ่ายโจมตีรัฐบาลที่บอกว่า เศรษฐกิจดีขึ้นต่อเนื่องนั้น คนระดับฐานรากยังไม่รับผลโดยตรง ไม่ถึงพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อประโยชน์กลุ่มทุนรายใหญ่บ้าง ซึ่งก็ล้วนเป็นการสร้างความขัดแย้งทำลายบรรยากาศการค้าการลงทุนในประเทศที่ค่อยๆ ไปได้ดี ที่รัฐบาลและเอกชนหลายฝ่ายกำลังพยายามสร้างอยู่ ขอเรียนพี่น้องประชาชนกว่า รัฐบาลทราบปัญหาเหล่านี้ดี รับทราบ ดำเนินการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง และรีบดำเนินการภายในปีนี้ให้ได้ต่อไป
ช่วงนี้อากาศร้อนอยู่แล้ว ไม่อยากให้เอาความรู้สึกมาเป็นที่ตั้ง จนทำให้เราร้อนใจตามไปด้วย อยากให้มองความพยายามของรัฐบาลที่จะช่วยเหลือประชาชนทั้งส่วนฐานราก และภาพรวมของประเทศ ที่เราดำเนินการมาตลอดเวลา 3 ปี ที่ผ่านมา ทั้งมาตรการระยะสั้น เพื่อสนับสนุนให้พี่น้องประชาชน และธุรกิจสามารถเดินหน้าประกอบสัมมาชีพไปอย่างต่อเนื่องราบรื่น ไม่สะดุดล้ม และทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ภาครัฐได้เร่งดำเนินมาตรการระยะยาว ทั้งการวางรากฐาน การปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย รวมถึงการวางรากฐานเศรษฐกิจไทย ผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ เพื่อจะยกระดับของพี่น้องประชาชนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปด้วย ไม่ใช่งานง่ายเลย ทั้งแก้ปัญหาไปด้วย ทั้งเดินหน้าไปด้วย และวางอนาคตไปด้วย 3 ประการด้วยกัน
ทั้งนี้ มาตรการระยะสั้นที่เรามุ่งช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ทั้งความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สำหรับพี่น้องประชาชน มาตรการที่ดำเนินการไปคิดเป็นงบประมาณเพิ่มเติมกว่า 200,000 ล้านบาท ไม่รวมวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ผ่านธนาคารเฉพาะกิจของรัฐอีกเกือบ 4 แสนล้านบาท ถูกนำไปใช้ในการสนับสนุนปัจจัยการผลิต การแก้ไขปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ ปาล์มน้ำมัน รวมถึงการชะลอการนำผลผลิตออกสู่ตลาดเพื่อรักษาระดับราคาที่เหมาะสม นอกจากพี่น้องเกษตรกรแล้ว รัฐบาลยังใช้งบประมาณสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยกว่า 1.4 แสนล้านบาท รวมถึงวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำกว่า 6 หมื่นล้านบาท
สำหรับการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ที่ลงทะเบียนสนับสนุนรัฐจำนวนกว่า 8 ล้านคน การสนับสนุนเงินช่วยเหลือผ่านกองทุนหมู่บ้าน และโครงการลงทุนตำบลละ 5 ล้านบาท และการสนับสนุนสินเชื่อด้านที่อยู่อาศัยกว่า 6 หมื่นราย รวมถึงให้เช่าที่พักอาศัยในราคาต่ำด้วย เม็ดเงินเหล่านี้จำเป็นต่อการประคับประคองความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย ในภาวะที่ราคาพืชผลการเกษตรผันผวน และเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในห้วงการปฏิรูปโครงสร้าง และลดความเหลื่อมล้ำ อีกปัญหาที่เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยยังต้องแบกรับอยู่คือ ภาระหนี้ โดยเฉพาะหนี้นอกระบบ รัฐบาลดำเนินการแก้ไขและป้องกันปัญหาอย่างยั่งยืนครบวงจร การดำเนินการทั้งด้านเจ้าหนี้ และลูกหนี้อย่างต่อเนื่องด้วย ด้านเจ้าหนี้ ให้มีการดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย โดยประชาสัมพันธ์ให้เจ้าหนี้มาร่วมกันไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ และเข้ามาขออนุญาตดำเนินการธุรกิจสินเชื่อในระบบให้ถูกต้อง รวมทั้งบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่มีผลในวันที่ 16 มกราคม ที่ผ่านมา
สำหรับลูกหนี้ รัฐบาลได้สนับสนุนลูกหนี้นอกระบบ โดยมีเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยหนี้ เพื่อให้เกิดมูลค่าหนี้ที่เป็นธรรม และให้ธนาคารของรัฐพิจารณาสินเชื่อ เพื่อแก้ไขหนี้นอกระบบตามศักยภาพของลูกหนี้แต่ละราย
นอกจากนี้ ยังวางแนวทางศักยภาพในการหารายได้ของลูกหนี้ รวมถึงจะให้รู้จักด้านการเงิน เพื่อไม่ให้ก่อหนี้ซ้ำเติมที่เดิม ขณะเดียวกัน ได้พยายามเพิ่มช่องทางให้ลูกหนี้กลับมาหาสินเชื่อในระบบได้ ทั้งนาโนไฟแนนซ์ ทิสโก้ไฟแนนซ์ และการให้สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ในกรอบวงเงินกว่า 4,000 ล้านบาทด้วย รัฐบาลหวังว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยปลดเปลื้องภาระของพี่น้องประชาชนได้บางส่วน เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสุขสบายกว่าเดิม
อีกกลุ่มที่ภาครัฐให้ความสำคัญคือ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เนื่องจากเป็นผู้จ้างงานของแรงงานกลุ่มใหญ่ของประเทศ อีกทั้งยังเป็นบ่อเกิดของนวัตกรรมสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในยุค 4.0 ด้วย ที่ผ่านมา ภาครัฐมีมาตรการหลากหลายในการช่วยเหลือ ทั้งที่เป็น เอสเอ็มอีทั่วไป และพี่น้องเกษตรกรที่ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพ ผ่านการให้สินเชื่อ และการค้ำประกันสินเชื่อ คิดวงเงินรวมมากกว่า 5 แสนล้านบาท รวมทั้งมีวงเงินชดเชยอีกประมาณ 75,000 ล้านบาท ซึ่งสินเชื่อเหล่านี้เข้าไปมีบทบาทเป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อให้เอสเอ็มอีสามารถบริหารจัดการธุรกิจได้ในช่วงที่ผ่านมา และช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในการก้าวเป็นธุรกิจในยุค 4.0 ให้ดีขึ้นด้วย
พี่น้องประชาชนที่รัก นอกจากมาตรการระยะสั้นที่เรียนมาทั้งหมดแล้ว ภาครัฐยังเร่งวางรากฐานให้กับประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้พี่น้องประชาชนสามารถเดินทางติดต่อระหว่างกันได้สะดวกรวดเร็วราคาถูกและมีคุณภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและการเชื่อมโยง รองรับความต้องการของภาคการผลิต บริการ และการท่องเที่ยว เสริมสร้างความมั่นคง รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ โดยอาจแบ่งสิ่งที่รัฐบาลได้เดินหน้าในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานเพื่อตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนและประเทศได้ 4 ด้าน อันได้แก่
ด้านการยกระดับคุณภาพชีวิต เช่น 1) การขยายเขตระบบไฟฟ้า ให้ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ โดยปัจจุบันสามารถให้บริการไฟฟ้าได้ครอบคลุมถึงร้อยละ 99.7 ของจำนวนครัวเรือนปัจจุบัน 2) การลงทุนระบบประปาในพื้นที่ต่างๆ เพื่อขยายกำลังการผลิตน้ำประปา ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ใช้น้ำได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้นกว่า 1.2 ล้านราย 3) การพัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โดยมีเป้าหมายหมู่บ้านที่ยังขาดแคลนอีกจำนวนกว่า 40,000 หมู่บ้าน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และข้อมูลของรัฐได้อย่างทั่วถึง และ 4) การลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและปานกลางในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งจะสามารถสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้เพิ่มขึ้นอีก 30,000 ครัวเรือน
ด้านเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและการเชื่อมโยง เช่น 1) ทางถนน มีการลงทุนพัฒนาเส้นทางใหม่ บำรุงรักษาเส้นทางให้ได้มาตรฐาน เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทาง วงเงินลงทุนรวมกว่า 2 แสนล้านบาท 2) การลงทุนพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางราง เพื่อรองรับความต้องการการเดินทางและขนส่งสินค้า วงเงินลงทุนราว 2 แสนล้านบาท เช่น โครงการรถไฟชานเมือง โครงการรถไฟทางคู่ รวมทั้งอนุมัติการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล วงเงินลงทุนรวมกว่า 2 แสนล้านบาท 3) ทางน้ำ มีการลงทุนพัฒนาท่าเทียบเรือ และดูแลรักษาร่องน้ำเดินเรือเศรษฐกิจของประเทศ วงเงินลงทุนมากกว่า 5 พันล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการระบบคมนาคมขนส่งทางน้ำของประเทศ 4) ทางอากาศ มีการลงทุนพัฒนาและบำรุงรักษาท่าอากาศยานในภูมิภาค และมีการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนของประเทศให้มีมาตรฐานที่เป็นไปตามมาตรฐานและข้อแนะนำที่พึงปฏิบัติของ ICAO และ 5) ด้านโทรคมนาคม มีการลงทุนระบบเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศ วงเงินลงทุน 1,400 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อโครงข่ายอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย โดยทำให้มีความจุเพิ่มขึ้น และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ใช้บริการด้วย
ด้านการเสริมสร้างความมั่นคงของประเทศ เช่น 1) เพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ โดยการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่และทดแทนของภาครัฐ ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น สามารถรองรับความต้องการพลังงานไฟฟ้าของประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นไปด้วยความมั่นคง 2) การลงทุนโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เพื่อรองรับการจัดหาและนำเข้าก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ และ 3) การลงทุนโครงสร้างปรับปรุงกิจการประปา เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต เสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบผลิต สูบส่ง และจำหน่ายน้ำประปา รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการกับปัญหาคุณภาพของแหล่งน้ำดิบให้กับพี่น้องประชาชนด้วย
สุดท้าย คือด้านการสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ เช่น 1) ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การอนุรักษ์พลังงาน รวมทั้งขับเคลื่อนการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย เพื่อช่วยลดมลภาวะ และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีบนท้องถนน ลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ และพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ต่อเนื่องในประเทศ โดยจะเห็นว่าสัดส่วนการใช้พลังงานของประเทศได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ในช่วงนี้อากาศร้อน อาจจะเพิ่มมากขึ้น ก็เป็นการชั่วคราว 2) เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนและสนับสนุนการกระจายเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า เพื่อลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานฟอสซิล และใช้พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น 3) ปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น ลดการแทรกแซงจากภาครัฐ และลดการชดเชยข้ามประเภทเชื้อเพลิง โดยปรับอัตราภาษีของกลุ่มน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลให้ใกล้เคียงกันมากขึ้น และ 4) พัฒนาโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) ผ่านการจัดหาดาวเทียมสำรวจทรัพยากรที่ให้ข้อมูลรายละเอียดสูงมาก และสร้างดาวเทียมขนาดเล็กด้วยตัวเอง เพื่อจะช่วยการสำรวจข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติและภูมิสารสนเทศของประเทศ ที่จะนำมาใช้ในการวางแผนปฏิบัติการต่างๆ และการดำเนินนโยบายที่จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคง ตลอดจนเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของมาตรการที่รัฐบาลได้เร่งผลักดันเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนทั้งนั้น ยังมีอีกหลายโครงการที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงต่าง ๆ อยู่แล้ว หลายอย่างที่เป็นมาตรการระยะยาว จะต้องใช้เวลาดำเนินการจึงจะเห็นผล หลายอย่างต้องการการสนับสนุนและการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชน
ผมจึงอยากให้ทุกท่านได้รับทราบ รับรู้ ถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาล ที่จะเข้ามาดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือ สนับสนุน และยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ทำให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในภาพรวม ลงไปถึงฐานรากให้ได้มากที่สุด ที่ผ่านมาผมได้ให้ความสำคัญกับการกำจัดปัญหาการทุจริต และวางระบบการจัดซื้อจัดจ้างให้รัดกุม ซึ่งจะช่วยให้มีการกระจายของเม็ดเงินออกไปยังภาคส่วนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
หากพี่น้องประชาชนจะช่วยเป็นหูเป็นตา ช่วยกันคนละไม้ละมือ ในการที่จะช่วยกันสอดส่องดูแลการทุจริต และส่งข้อมูลมาที่ศูนย์ดำรงธรรม เพื่อให้ส่วนกลางดำเนินการตรวจสอบ ก็จะถือเป็นอีกกำลังสำคัญที่จะมีส่วนช่วยปฏิรูปประเทศของเรา และก็ช่วยให้ทุกภาคส่วนได้ก้าวไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ไปด้วยกัน
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะฝากให้พี่น้องชาวไทยทุกคนได้คิด ได้ทบทวนตัวเองว่าเรามีความเข้าใจคำสอนของพ่อ หรือศาสตร์พระราชา อย่างถ่องแท้หรือยัง แล้วได้น้อมนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันอย่างถูกต้อง เหมาะสม หรือไม่ มากน้อยเพียงใด ถ้าเรารู้จักความพอเพียง พอประมาณ เราคงมีความสุขกับสิ่งที่เรามีอยู่ ไม่ต้องแสวงหาสิ่งที่เกินตัว ด้วยการทุจริต โกง คอร์รัปชันจากคนอื่นนะครับ หรือจากแผนงานโครงการต่างๆ ถ้าเรามีความรู้ มีเหตุมีผล เราก็จะมีภูมิคุ้มกันในการคิด ตัดสินใจต่างๆ ถ้าเรามีคุณธรรม เราก็จะหลุดพ้นจากกองกิเลสที่จะล่อลวงเราไปสู่หนทางเสื่อม และรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร สังคมก็จะมีแต่ความสุข เราคงไม่ต้องได้ยิน ได้ฟัง ในเรื่องราวที่ไม่ดีในสังคม เหมือนเช่นทุกวันนี้ ทั้งในเรื่องของการหลอกให้มาลงทุน หรือการใช้สื่อโซเชียลที่ไม่เหมาะสมและรุนแรง หยาบคาย เหล่านี้เป็นต้น
ทั้งนี้ นโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาลนี้เป็นแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นพื้นฐาน เป็นการสร้างความเจริญ เพื่อกระจายความสุขไปสู่ทุกอณูของสังคมไทย ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมกันอย่างพร้อมหน้า ไม่ต้องเข้ามาแสวงโชคในเมือง ในกรุงเทพฯ อีกต่อไปในวันข้างหน้า ไม่ใช่การสร้างวัตถุโดยไม่สร้างความเจริญที่จิตใจคน ผมจึงอยากให้ช่วยกันคิด ทบทวนความผิดพลาดในอดีตมาแก้ไขปัจจุบัน เพื่ออนาคตที่ดีกว่า ไม่เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก
วันพรุ่งนี้ 29 เมษายน ผมมีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 30 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งในโอกาสครบรอบ 50 ปี การก่อตั้งอาเซียน ผู้นําประเทศสมาชิกจะใช้โอกาสนี้ทบทวนการดําเนินการของอาเซียนตลอดช่วงที่ผ่านมา ทั้งประเด็นภายในอาเซียน และประเด็นท้าทายในระดับภูมิภาคและโลก ซึ่งผลจากการปฏิบัติในรายละเอียด ผมจะได้เล่าให้ฟังในวันศุกร์หน้า ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและคณะได้เดินทางไปเยือนราชอาณาจักรบาห์เรน ตามคำเชิญของท่านนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นโอกาสครบรอบ 40 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศ ที่มีความแน่นแฟ้นมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ในระดับพระราชวงศ์ โดยปวงชนชาวไทยมีความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบาห์เรน ได้ทรงมีข้อความพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และได้ทรงมีข้อความพระราชสาส์นถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในโอกาสขึ้นทรงราชย์
สำหรับนายกรัฐมนตรีบาห์เรน ได้เสด็จมาถวายความอาลัยต่อการสวรรคตด้วยเช่นกัน ในการเยือนครั้งนี้นอกจากจะได้รับพระราชอนุญาตให้เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบาห์เรนแล้ว ยังได้มีโอกาสหารือทวิภาคีแบบเต็มคณะ โดยได้รับทราบถึงนโยบายอีโคโนมิควิชั่น 2030 ของบาห์เรน ซึ่งสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบาห์เรน ได้ทรงมีบทบาทสำคัญในการริเริ่มวิสัยทัศน์ดังกล่าว เพื่อความมั่งคั่งของชาวบาห์เรนบนพื้นฐานความยั่งยืน ความเป็นธรรม และการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของเรา ซึ่งมุ่งเน้นความรู้ เทคโนโลยี การสร้างสรรค์ และนวัตกรรม เพื่อสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนเช่นกัน ให้กับประเทศชาติ และประชาชนชาวไทย ได้มีการหารือในหลายๆ ด้าน ได้มีพิธีลงนามความตกลงระหว่างราชอาณาจักรทั้งสอง จำนวน 3 ฉบับ เกี่ยวกับความร่วมมือด้านการเกษตร การเว้นการเก็บภาษีซ้อน และการป้องกันการเรียกรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ และการส่งเสริมให้แพทย์ผู้ชำนาญการของไทย ได้เข้าร่วมโครงการ Visiting Doctor Programme ของบาห์เรน ซึ่งในอนาคตประเทศไทยก็หวังว่า จะมีโอกาสได้ต้อนรับท่านนายกรัฐมนตรีบาห์เรนอย่างอบอุ่น เหมือนที่เราได้รับในครั้งนี้เช่นกันนะครับ ซึ่งเป็นการสานต่อมิตรภาพอันดีระหว่างกันในทุกระดับให้ยั่งยืนต่อไป
พี่น้องประชาชน และผู้ใช้แรงงาน ซึ่งเป็นผู้ร่วมสร้างชาติทุกท่านครับ วันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันแรงงานแห่งชาติ ตรงกับวันกรรมกรสากล หรือ May Day ของโลก แรงงานถือเป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการผลิตห่วงโซ่คุณค่าในระบบเศรษฐกิจ โดยพลังของผู้ใช้แรงงานจะแฝงอยู่ในผลผลิตทุกชิ้น ดังนั้นความมั่นคงก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศ จะมีส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับพี่น้องแรงงานทุกประเภททั้งแรงงานในระบบ ที่เรียกว่ามนุษย์เงินเดือน และแรงงานนอกระบบ แรงงานอิสระ ที่มีราว 2 ใน 3 ของแรงงานทั้งหมด เช่น คนงานที่เอางานมาทำที่บ้าน แรงงานรับจ้างทำการเกษตร เกษตรกร ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ ที่เป็นแรงงานตามฤดูกาล และแรงงานประมง คนทำงานบ้าน รับจ้างทั่วไป แม่ค้าหาบเร่แผงลอย ช่างเสริมสวย ช่างทำผม เหล่านี้เป็นต้น
แรงงานนอกระบบเหล่านี้ ส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีรายได้น้อย รายได้ไม่แน่นอน ไม่มีความมั่นคง หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ และคุ้มครองจากรัฐบาล ทั้งด้านกฎหมายแรงงาน ประกันสังคม และสวัสดิการอย่างอื่นแล้ว ก็ย่อมจะส่งผลกระทบทั้งในวิถีสังคม และความมั่นคงตามมาอีกด้วย ดังนั้นผมเห็นว่า การจัดให้มีฐานข้อมูลกลาง ข้อมูลแรงงาน ข้อมูลประชากรของประเทศ จึงมีความจำเป็นอย่างมาก ที่จะช่วยให้รัฐบาลและทุกหน่วยงานสามารถนำไปกำหนดเป็นนโยบายสาธารณะได้อย่างเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งแรงงานกลุ่มต่างๆ และแรงงานคนพิการของไทย รวมถึงแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่ได้มีการลงทะเบียนจัดทำฐานข้อมูลไปแล้ว
นอกจากนี้ ฐานข้อมูลเหล่านี้จะช่วยในการจัดระบบให้เป็นระเบียบ สำหรับการบริหารจัดการ เพื่อให้ประเทศสามารถใช้ศักยภาพจากทรัพยากรมนุษย์ หรือแรงงานของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย ที่ผ่านมาปัญหาแรงงานไทย นอกจากการถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้างด้านผลประโยชน์ ค่าตอบแทน และสวัสดิการแล้ว ก็ยังคงมีเรื่องปัญหาปากท้อง การบริการสุขภาพ ที่อยู่อาศัย การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการศึกษาอีกด้วย ซึ่งรัฐบาลนี้ได้ให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาเหล่านั้น เพื่อให้เกิดความมั่นคง และยั่งยืนแก่พี่น้องแรงงานทุกประเภท โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบที่มักจะเป็นประชากรระดับฐานราก และผู้มีรายได้น้อย
ดังนั้น จึงมียโยบายสาธารณะต่างๆ ออกมาเป็นจำนวนมาก ในช่วง 2 ปีกว่านี้ ผมอยากจะทบทวนให้ทราบอีกครั้ง เช่น ด้านสุขภาพได้แก่ 1.การแพทย์ฉุกเฉิน 72 ชั่วโมงแรกให้พ้นวิกฤต ที่ผู้ป่วยอยู่ในช่วงได้รับอันตรายถึงชีวิตได้ทุกโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลของรัฐหรือเอกชน ซึ่งเป็นการก้าวข้ามกำแพงสิทธิประเภทต่างๆ ไม่ว่าประกันสังคม หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กองทุนอื่นๆ หรือแม้จะไม่มีสิทธิใดๆ โดยรัฐบาลได้รักษาไว้ซึ่งสิทธิขั้นพื้นฐานของพี่้น้องคนไทยทุกคน ทุกสาขาอาชีพ ข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามได้ที่สายด่วน 1669 และ 2.คลินิกหมอครอบครัว เป็นการปฏิรูประบบสาธารณสุขไทย เน้นมาตรการเชิงป้องกันมากกว่ารักษา ที่พักมีราคาแพงกว่า ด้วยการสร้างระบบเครือข่ายแพทย์ปฐมภูมิไปทั่วประเทศ จนเข้าถึงทุกครัวเรือน จำนวน 6,500 ทีม ในปี 2570 เหล่านี้เป็นต้น
ด้านสวัสดิการสังคม ได้แก่ 1.กองทุนการออมแห่งชาติ สำหรับประชาชน และพี่น้องแรงงานที่มีอยู่ในกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ที่เรียกว่า กบข. หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กสร. หรือกองทุนประกันสังคม 2.กองทุนยุติธรรมจะช่วยเหลือในเรื่องคดีความ การให้ความรู้ทางกฎหมาย หรือการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน และ3.การลงทะเบียนเพื่อรับสวัสดิการภาครัฐที่จะปิดลงทะเบียนในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ โดยมีมาตรการลดค่าครองชีพ สำหรับแรงงานที่เป็นผู้มีรายได้น้อย ให้มีส่วนลดค่าน้ำ ค่าไฟ หรือค่ารถ ขสมก.สำหรับแรงงานในประเทศ หรือท่ารถ บขส.สำหรับพี่น้องต่างจังหวัดเหล่านี้เป็นต้น ใครที่อยู่ในเขตดังกล่าวขอให้รีบๆ มาลงทะเบียนกันนะครับ และด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน ความมั่นคงในอาชีพ เช่น 1.ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย 2.การสร้างระบบมาตรฐานแรงงาน จะช่วยกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน เพื่อรองรับ 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายแรงงาน และ 3.การส่งเสริมอาชีวศึกษา ระบบทวิภาคีภายใต้กลไกประชารัฐ เป็นต้น
ที่กล่าวมาเป็นการบูรณาการหน่วยงาน และการสร้างระบบตลาดแรงงานที่สอดคล้องกันฝั่งดีมานด์ก็คือ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ และฝั่งซัพพลายคือ กระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงแรงงานให้รองรับการก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 นั่นเอง ทั้งนี้ในอนาคต เราจะต้องยกระดับจากผู้ใช้แรงงานเป็นผู้ใช้พลังสมอง หรือที่เรียกว่าจากแมนพาวเวอร์สู่เบรนพาวเวอร์ ผมอยากให้ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญ กับการพัฒนาตนเอง โดยเริ่มจากตนเองว่าตนเองนั้นมีความสำคัญกับการพัฒนาประเทศเท่าเทียมกัน ซึ่งคงจะค่อยๆ ยกระดับตนเองเป็นแรงงานมีฝีมือ แรงงานคุณภาพ แรงงานที่มีนวัตกรรม และแรงงานที่มีความคิดสร้างสรรค์ให้ได้ โดยจะต้องรู้จักประยุกต์ การใช้เทคโลยีที่ทันสมัยอย่างเหมาะสมด้วย
พี่น้องประชาชนที่รักครับ นโยบายไทยแลนด์ 4.0 และเป็นการปฏิรูประบบเศรษฐกิจของประเทศ เราออกแบบมาเพื่อการปรับเปลี่ยนจากการเป็นประเทศที่มีพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมหนัก และการส่งออกไปมุ่งเน้นการวิจัย และนวัตกรรม ซึ่งมีหลายประเด็นที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ไปพร้อมๆ กัน เพื่อจะให้เกิดความสำเร็จ หรือเรียกว่าให้ยั่งยืนให้ได้เร็วๆ เช่น 1.ประเด็นการขับเคลื่อนและการบริหารจัดการ ผมถือว่านโยบายนี้เป็นวาระเร่งด่วนของประเทศ จึงได้พัฒนากลไกการบริหารจัดการนี้ขึ้น ก็คือ ป.ย.ป.ที่เรียกว่าคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน ตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง เพื่อจะกำกับดูแลให้เกิดผลเป็นรูปธรรม อันประกอบไปด้วย การเตรียมคนไทยไปสู่ศตวรรษที่ 21 การบ่มเพาะผู้ประกอบการ และพัฒนาเครือข่ายวิสาหกิจ ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม การพัฒนาคลัสเตอร์เทคโนโลยี และ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศ ผ่านกลไก 6 ภาค 18 กลุ่มจังหวัด และ 76 จังหวัด การบูรณาการอาเซียน และเชื่อมประเทศไทยสู่ประชาคมโลก และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ ที่จับต้องได้ ที่เราคุ้นเคย รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จับต้องไม่ได้ ทางปัญญา และทางสังคมที่มักจะถูกมองข้ามแต่ก็ต่างมีความสำคัญสำหรับการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย
2.ประเด็นความพร้อมด้านการพัฒนาแรงงาน หรือทรัพยากรมนุษย์ ผมถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการนำพาประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ทั้งนี้คนไทย 4.0 ก็คือคนในศตวรรษที่ 21 ที่จะต้องมีทักษะความรู้ ความคิดวิเคราะห์ และความสามารถโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้าน STEM ที่เรียกว่า สเต็ม ที่ผมเคยได้กล่าวไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษาตลอดจนพ่อแม่ผู้ปกครองต้องร่วมมือกันพัฒนาคนไทย เยาวชนไทย เพื่อให้พร้อมรองรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลก และสอดคล้องกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศที่จะมุ่งไปสู่เทคโนโลยี และนวัตกรรม ยึดหลักการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์ นำไปสู่การปฏิบัติให้เป็นผลเป็นรูปธรรม และคำนึงถึงส่วนรวม มีจิตสาธารณะ
3.ประเด็นการยกระดับการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการทำธุรกิจในประเทศ ซึ่งนอกจากจะเป็นการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการประกอบธุรกิจให้ได้รับความสะดวกรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว เราจะต้องปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบและขั้นตอนต่างๆของราชการเพื่อจะสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุน รวมทั้งการปฏิรูปการบริหารงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้แก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆของภาคธุรกิจ เช่น ผลักดัน พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ และการปรับปรุงการบริการภาครัฐโดยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ให้การทำงานมีประสิทธิภาพเพื่อให้ภาคธุรกิจที่เป็นกลไลขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ได้รับความสะดวกรวดเร็ว ไม่ทุจริตคอร์รัปชัน และมีธรรมาภิบาลยิ่งขึ้น
4.ประเด็นการส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีจากนักลงทุนต่างชาติ ทั้งนี้ เราไม่อาจจะเพิ่มศักยภาพของคนไทย หรือยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างยั่งยืน ถ้าเรามัวแต่อาศัยเทคโนโลยีที่คนอื่นเขาคิดขึ้น โดยไม่พยายามยืนบนลำแข้งของตนเองให้ได้ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมของเราเอง ดังนั้นรัฐบาลจึงได้ผลักดันกฎหมายด้านการลงทุน 2 ฉบับ คือ การปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน และ พ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งนอกจากจะช่วยดึงดูดการลงทุนที่มีมูลค่าสูงจากต่างประเทศแล้ว ยังส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี เกิดหุ้นส่วนเทคโนโลยีอุตสาหกรรมระหว่างภาครัฐกับเอกชน ไทยกับต่างประเทศ และมหาวิทยาลัยไทยกับต่างประเทศ รวมทั้งจะดึงดูดทรัพยากรบุคคลที่มีความสามารถสูงจากต่างประเทศมาช่วยเป็นกำลังเสริมในการพัฒนาบ้านเมืองเรา และทำให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับคนไทยอีกด้วย โดยจะอำนวยความสะดวกด้านวีซ่า และใบอนุญาตให้ทำงาน การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกลุ่มนักวิจัยหรือผู้เชี่ยวชาญชั้นนำจากต่างประเทศในสาขาที่ไทยต้องการ และการจัดตั้งศูนย์บริหารทาเลนท์ เป็นต้น
ทั้งนี้ ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเชิงพื้นที่ ซึ่งจะเน้นการกระจายความเจริญไปยังพื้นที่ต่างๆในประเทศอย่างทั่วถึง อันจะเป็นส่วนสำคัญในการลดปัญหาสังคมในเขตเมือง และปัญหาครอบครัวในต่างจังหวัด ที่เป็นต้นตอของอีกหลายปัญหาในประเทศตามมา โดยมีแนวททางการพัฒนาเชิงพื้นที่ที่สำคัญ ได้แก่ แผนพัฒนาระดับภาค กลุ่มจังหวัด การจัดตั้งอินโนเวชันฮับ กระจายตามภูมิภาคต่างๆ การพัฒนาพื้นที่บริเวณชายแดน ที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านในรูปแบบของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ตามแนวคิด เราจะเข้มแข็งไปด้วยกัน และเราจะไม่ทิ้งใครไว้ที่หลัง โดยอาศัยความสัมพันธ์ในลักษณะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับประเทศเพื่อนบ้าน CLMV และขยายออกไปในระดับ AEC และอีกนโยบายที่สำคัญก็คือ EEC การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าหมายให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่ดีที่สุด และทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน สำหรับเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในหลายๆด้าน ทั้งการประกอบธุรกิจ การเงิน การวิจัย และพัฒนา การซ่อมอากาศยาน และการซ่อมบำรุง การท่องเที่ยว เป็นต้น
โดยใน 5 ปีแรกนี้ คาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC ของทั้งภาครัฐ และเอกชน รวมประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท ผมก็อยากให้จินตนาการกันต่อไปว่า 10 ปี 20 ปีข้างหน้า หากเราร่วมมือกันทุกฝ่าย ทุกคนเตรียมความพร้อมของตัวเองแล้วตามที่ผมกล่าวไป ประเทศไทยก็จะมีความโดดเด่นในภูมิภาคตามที่เรามุ่งหวังได้ ขอความร่วมมือ ความเข้าใจจากประชาชนด้วย
พี่น้องประชาชนที่เคารพ วันนี้เราพูดได้ว่าเศรษฐกิจของไทยก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถ้าพี่น้องประชาชนลองมองย้อนกลับไปปี 2557 เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เพียงร้อยละ 0.8 และปรับดีขึ้นต่อเนื่องเป็นร้อยละ 2.8 ในปี 2558 และ 3.2 ในปี 2559 ที่ผ่านมา ในปีนี้หากโครงการต่างๆคืบหน้าไปตามแผนที่วางไว้ เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้นอีกที่ประมาณ ร้อยละ 3.5 ซึ่งก็ถือเป็นการค่อยๆฟื้นตัวขึ้นจากปัญหาความไม่แน่นอนต่างๆของประเทศ และภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมาอย่างชัดเจน แม้ว่าจะยังไม่ได้กลับมาขยายตัวสูงเท่ากับในอดีต แต่ก็สะท้อนว่าเรามีโอกาสจะฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพและยังน่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในวันข้างหน้า หากเราค่อยๆช่วยกัน ฟิตร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
สำหรับในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดี เราได้เห็นจากการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่องและเริ่มขยายตัวมากขึ้นในหลายหมวดสินค้า โดยมีมูลค่าสูงกว่า 700,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่าร้อยละ 10 สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ผ่านมา นอกจากนี้ รายได้เกษตรกรในเดือนมีนาคมปีนี้ เมื่อเทียบกับปีก่อน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 จากทั้งผลผลิต และสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้รายได้ครัวเรือนและความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลดีต่อการบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะการตัดสินใจซื้อสินค้าคงทน มีราคาสูง เช่น รถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ซบเซาเป็นเวลานาน สำหรับการค้าขายของภาคธุรกิจมีการขอจดทะเบียนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละะ 10 ซึ่งสะท้อนกว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เอกชนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น
ทั้งนี้ หากเราต้องการที่จะกลับไปโตได้ในอัตราสูงๆ แบบเดิม เราต้องเร่งให้เกิดการปฏิรูปเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลนี้ ได้เริ่มขับเคลื่อนบ้างแล้ว แต่ต้องเดินหน้าต่อเนื่อง ตัวอย่างหนึ่งคือการเร่งให้เกิดอีอีซี ที่จะช่วยวางรากฐานในอนาคตของการผลิต การค้า และยกระดับพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศเรื่องเหล่านี้ต้องใช้เวลานานพอสมควรจะเห็นผล ซึ่งต้องร่วมมือร่วมใจจากทั้งภาคเอกชน และประชาชน เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เกิดการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความพยายามเหล่านี้ที่ผ่านมา อาจมีหลายพวกหลายฝ่ายโจมตีรัฐบาลที่บอกว่า เศรษฐกิจดีขึ้นต่อเนื่องนั้น คนระดับฐานรากยังไม่รับผลโดยตรง ไม่ถึงพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อประโยชน์กลุ่มทุนรายใหญ่บ้าง ซึ่งก็ล้วนเป็นการสร้างความขัดแย้งทำลายบรรยากาศการค้าการลงทุนในประเทศที่ค่อยๆ ไปได้ดี ที่รัฐบาลและเอกชนหลายฝ่ายกำลังพยายามสร้างอยู่ ขอเรียนพี่น้องประชาชนกว่า รัฐบาลทราบปัญหาเหล่านี้ดี รับทราบ ดำเนินการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง และรีบดำเนินการภายในปีนี้ให้ได้ต่อไป
ช่วงนี้อากาศร้อนอยู่แล้ว ไม่อยากให้เอาความรู้สึกมาเป็นที่ตั้ง จนทำให้เราร้อนใจตามไปด้วย อยากให้มองความพยายามของรัฐบาลที่จะช่วยเหลือประชาชนทั้งส่วนฐานราก และภาพรวมของประเทศ ที่เราดำเนินการมาตลอดเวลา 3 ปี ที่ผ่านมา ทั้งมาตรการระยะสั้น เพื่อสนับสนุนให้พี่น้องประชาชน และธุรกิจสามารถเดินหน้าประกอบสัมมาชีพไปอย่างต่อเนื่องราบรื่น ไม่สะดุดล้ม และทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ภาครัฐได้เร่งดำเนินมาตรการระยะยาว ทั้งการวางรากฐาน การปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย รวมถึงการวางรากฐานเศรษฐกิจไทย ผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ เพื่อจะยกระดับของพี่น้องประชาชนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปด้วย ไม่ใช่งานง่ายเลย ทั้งแก้ปัญหาไปด้วย ทั้งเดินหน้าไปด้วย และวางอนาคตไปด้วย 3 ประการด้วยกัน
ทั้งนี้ มาตรการระยะสั้นที่เรามุ่งช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ทั้งความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สำหรับพี่น้องประชาชน มาตรการที่ดำเนินการไปคิดเป็นงบประมาณเพิ่มเติมกว่า 200,000 ล้านบาท ไม่รวมวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ผ่านธนาคารเฉพาะกิจของรัฐอีกเกือบ 4 แสนล้านบาท ถูกนำไปใช้ในการสนับสนุนปัจจัยการผลิต การแก้ไขปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ ปาล์มน้ำมัน รวมถึงการชะลอการนำผลผลิตออกสู่ตลาดเพื่อรักษาระดับราคาที่เหมาะสม นอกจากพี่น้องเกษตรกรแล้ว รัฐบาลยังใช้งบประมาณสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยกว่า 1.4 แสนล้านบาท รวมถึงวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำกว่า 6 หมื่นล้านบาท
สำหรับการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ที่ลงทะเบียนสนับสนุนรัฐจำนวนกว่า 8 ล้านคน การสนับสนุนเงินช่วยเหลือผ่านกองทุนหมู่บ้าน และโครงการลงทุนตำบลละ 5 ล้านบาท และการสนับสนุนสินเชื่อด้านที่อยู่อาศัยกว่า 6 หมื่นราย รวมถึงให้เช่าที่พักอาศัยในราคาต่ำด้วย เม็ดเงินเหล่านี้จำเป็นต่อการประคับประคองความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย ในภาวะที่ราคาพืชผลการเกษตรผันผวน และเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในห้วงการปฏิรูปโครงสร้าง และลดความเหลื่อมล้ำ อีกปัญหาที่เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยยังต้องแบกรับอยู่คือ ภาระหนี้ โดยเฉพาะหนี้นอกระบบ รัฐบาลดำเนินการแก้ไขและป้องกันปัญหาอย่างยั่งยืนครบวงจร การดำเนินการทั้งด้านเจ้าหนี้ และลูกหนี้อย่างต่อเนื่องด้วย ด้านเจ้าหนี้ ให้มีการดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย โดยประชาสัมพันธ์ให้เจ้าหนี้มาร่วมกันไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ และเข้ามาขออนุญาตดำเนินการธุรกิจสินเชื่อในระบบให้ถูกต้อง รวมทั้งบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่มีผลในวันที่ 16 มกราคม ที่ผ่านมา
สำหรับลูกหนี้ รัฐบาลได้สนับสนุนลูกหนี้นอกระบบ โดยมีเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยหนี้ เพื่อให้เกิดมูลค่าหนี้ที่เป็นธรรม และให้ธนาคารของรัฐพิจารณาสินเชื่อ เพื่อแก้ไขหนี้นอกระบบตามศักยภาพของลูกหนี้แต่ละราย
นอกจากนี้ ยังวางแนวทางศักยภาพในการหารายได้ของลูกหนี้ รวมถึงจะให้รู้จักด้านการเงิน เพื่อไม่ให้ก่อหนี้ซ้ำเติมที่เดิม ขณะเดียวกัน ได้พยายามเพิ่มช่องทางให้ลูกหนี้กลับมาหาสินเชื่อในระบบได้ ทั้งนาโนไฟแนนซ์ ทิสโก้ไฟแนนซ์ และการให้สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ในกรอบวงเงินกว่า 4,000 ล้านบาทด้วย รัฐบาลหวังว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยปลดเปลื้องภาระของพี่น้องประชาชนได้บางส่วน เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสุขสบายกว่าเดิม
อีกกลุ่มที่ภาครัฐให้ความสำคัญคือ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เนื่องจากเป็นผู้จ้างงานของแรงงานกลุ่มใหญ่ของประเทศ อีกทั้งยังเป็นบ่อเกิดของนวัตกรรมสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในยุค 4.0 ด้วย ที่ผ่านมา ภาครัฐมีมาตรการหลากหลายในการช่วยเหลือ ทั้งที่เป็น เอสเอ็มอีทั่วไป และพี่น้องเกษตรกรที่ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพ ผ่านการให้สินเชื่อ และการค้ำประกันสินเชื่อ คิดวงเงินรวมมากกว่า 5 แสนล้านบาท รวมทั้งมีวงเงินชดเชยอีกประมาณ 75,000 ล้านบาท ซึ่งสินเชื่อเหล่านี้เข้าไปมีบทบาทเป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อให้เอสเอ็มอีสามารถบริหารจัดการธุรกิจได้ในช่วงที่ผ่านมา และช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในการก้าวเป็นธุรกิจในยุค 4.0 ให้ดีขึ้นด้วย
พี่น้องประชาชนที่รัก นอกจากมาตรการระยะสั้นที่เรียนมาทั้งหมดแล้ว ภาครัฐยังเร่งวางรากฐานให้กับประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้พี่น้องประชาชนสามารถเดินทางติดต่อระหว่างกันได้สะดวกรวดเร็วราคาถูกและมีคุณภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและการเชื่อมโยง รองรับความต้องการของภาคการผลิต บริการ และการท่องเที่ยว เสริมสร้างความมั่นคง รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ โดยอาจแบ่งสิ่งที่รัฐบาลได้เดินหน้าในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานเพื่อตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนและประเทศได้ 4 ด้าน อันได้แก่
ด้านการยกระดับคุณภาพชีวิต เช่น 1) การขยายเขตระบบไฟฟ้า ให้ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ โดยปัจจุบันสามารถให้บริการไฟฟ้าได้ครอบคลุมถึงร้อยละ 99.7 ของจำนวนครัวเรือนปัจจุบัน 2) การลงทุนระบบประปาในพื้นที่ต่างๆ เพื่อขยายกำลังการผลิตน้ำประปา ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ใช้น้ำได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้นกว่า 1.2 ล้านราย 3) การพัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โดยมีเป้าหมายหมู่บ้านที่ยังขาดแคลนอีกจำนวนกว่า 40,000 หมู่บ้าน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และข้อมูลของรัฐได้อย่างทั่วถึง และ 4) การลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและปานกลางในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งจะสามารถสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้เพิ่มขึ้นอีก 30,000 ครัวเรือน
ด้านเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและการเชื่อมโยง เช่น 1) ทางถนน มีการลงทุนพัฒนาเส้นทางใหม่ บำรุงรักษาเส้นทางให้ได้มาตรฐาน เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทาง วงเงินลงทุนรวมกว่า 2 แสนล้านบาท 2) การลงทุนพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางราง เพื่อรองรับความต้องการการเดินทางและขนส่งสินค้า วงเงินลงทุนราว 2 แสนล้านบาท เช่น โครงการรถไฟชานเมือง โครงการรถไฟทางคู่ รวมทั้งอนุมัติการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล วงเงินลงทุนรวมกว่า 2 แสนล้านบาท 3) ทางน้ำ มีการลงทุนพัฒนาท่าเทียบเรือ และดูแลรักษาร่องน้ำเดินเรือเศรษฐกิจของประเทศ วงเงินลงทุนมากกว่า 5 พันล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการระบบคมนาคมขนส่งทางน้ำของประเทศ 4) ทางอากาศ มีการลงทุนพัฒนาและบำรุงรักษาท่าอากาศยานในภูมิภาค และมีการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนของประเทศให้มีมาตรฐานที่เป็นไปตามมาตรฐานและข้อแนะนำที่พึงปฏิบัติของ ICAO และ 5) ด้านโทรคมนาคม มีการลงทุนระบบเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศ วงเงินลงทุน 1,400 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อโครงข่ายอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย โดยทำให้มีความจุเพิ่มขึ้น และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ใช้บริการด้วย
ด้านการเสริมสร้างความมั่นคงของประเทศ เช่น 1) เพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ โดยการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่และทดแทนของภาครัฐ ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น สามารถรองรับความต้องการพลังงานไฟฟ้าของประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นไปด้วยความมั่นคง 2) การลงทุนโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เพื่อรองรับการจัดหาและนำเข้าก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ และ 3) การลงทุนโครงสร้างปรับปรุงกิจการประปา เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต เสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบผลิต สูบส่ง และจำหน่ายน้ำประปา รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการกับปัญหาคุณภาพของแหล่งน้ำดิบให้กับพี่น้องประชาชนด้วย
สุดท้าย คือด้านการสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ เช่น 1) ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การอนุรักษ์พลังงาน รวมทั้งขับเคลื่อนการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย เพื่อช่วยลดมลภาวะ และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีบนท้องถนน ลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ และพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ต่อเนื่องในประเทศ โดยจะเห็นว่าสัดส่วนการใช้พลังงานของประเทศได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ในช่วงนี้อากาศร้อน อาจจะเพิ่มมากขึ้น ก็เป็นการชั่วคราว 2) เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนและสนับสนุนการกระจายเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า เพื่อลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานฟอสซิล และใช้พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น 3) ปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น ลดการแทรกแซงจากภาครัฐ และลดการชดเชยข้ามประเภทเชื้อเพลิง โดยปรับอัตราภาษีของกลุ่มน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลให้ใกล้เคียงกันมากขึ้น และ 4) พัฒนาโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) ผ่านการจัดหาดาวเทียมสำรวจทรัพยากรที่ให้ข้อมูลรายละเอียดสูงมาก และสร้างดาวเทียมขนาดเล็กด้วยตัวเอง เพื่อจะช่วยการสำรวจข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติและภูมิสารสนเทศของประเทศ ที่จะนำมาใช้ในการวางแผนปฏิบัติการต่างๆ และการดำเนินนโยบายที่จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคง ตลอดจนเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของมาตรการที่รัฐบาลได้เร่งผลักดันเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนทั้งนั้น ยังมีอีกหลายโครงการที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงต่าง ๆ อยู่แล้ว หลายอย่างที่เป็นมาตรการระยะยาว จะต้องใช้เวลาดำเนินการจึงจะเห็นผล หลายอย่างต้องการการสนับสนุนและการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชน
ผมจึงอยากให้ทุกท่านได้รับทราบ รับรู้ ถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาล ที่จะเข้ามาดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือ สนับสนุน และยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ทำให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในภาพรวม ลงไปถึงฐานรากให้ได้มากที่สุด ที่ผ่านมาผมได้ให้ความสำคัญกับการกำจัดปัญหาการทุจริต และวางระบบการจัดซื้อจัดจ้างให้รัดกุม ซึ่งจะช่วยให้มีการกระจายของเม็ดเงินออกไปยังภาคส่วนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
หากพี่น้องประชาชนจะช่วยเป็นหูเป็นตา ช่วยกันคนละไม้ละมือ ในการที่จะช่วยกันสอดส่องดูแลการทุจริต และส่งข้อมูลมาที่ศูนย์ดำรงธรรม เพื่อให้ส่วนกลางดำเนินการตรวจสอบ ก็จะถือเป็นอีกกำลังสำคัญที่จะมีส่วนช่วยปฏิรูปประเทศของเรา และก็ช่วยให้ทุกภาคส่วนได้ก้าวไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ไปด้วยกัน
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะฝากให้พี่น้องชาวไทยทุกคนได้คิด ได้ทบทวนตัวเองว่าเรามีความเข้าใจคำสอนของพ่อ หรือศาสตร์พระราชา อย่างถ่องแท้หรือยัง แล้วได้น้อมนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันอย่างถูกต้อง เหมาะสม หรือไม่ มากน้อยเพียงใด ถ้าเรารู้จักความพอเพียง พอประมาณ เราคงมีความสุขกับสิ่งที่เรามีอยู่ ไม่ต้องแสวงหาสิ่งที่เกินตัว ด้วยการทุจริต โกง คอร์รัปชันจากคนอื่นนะครับ หรือจากแผนงานโครงการต่างๆ ถ้าเรามีความรู้ มีเหตุมีผล เราก็จะมีภูมิคุ้มกันในการคิด ตัดสินใจต่างๆ ถ้าเรามีคุณธรรม เราก็จะหลุดพ้นจากกองกิเลสที่จะล่อลวงเราไปสู่หนทางเสื่อม และรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร สังคมก็จะมีแต่ความสุข เราคงไม่ต้องได้ยิน ได้ฟัง ในเรื่องราวที่ไม่ดีในสังคม เหมือนเช่นทุกวันนี้ ทั้งในเรื่องของการหลอกให้มาลงทุน หรือการใช้สื่อโซเชียลที่ไม่เหมาะสมและรุนแรง หยาบคาย เหล่านี้เป็นต้น
ทั้งนี้ นโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาลนี้เป็นแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นพื้นฐาน เป็นการสร้างความเจริญ เพื่อกระจายความสุขไปสู่ทุกอณูของสังคมไทย ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมกันอย่างพร้อมหน้า ไม่ต้องเข้ามาแสวงโชคในเมือง ในกรุงเทพฯ อีกต่อไปในวันข้างหน้า ไม่ใช่การสร้างวัตถุโดยไม่สร้างความเจริญที่จิตใจคน ผมจึงอยากให้ช่วยกันคิด ทบทวนความผิดพลาดในอดีตมาแก้ไขปัจจุบัน เพื่ออนาคตที่ดีกว่า ไม่เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก
วันพรุ่งนี้ 29 เมษายน ผมมีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 30 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งในโอกาสครบรอบ 50 ปี การก่อตั้งอาเซียน ผู้นําประเทศสมาชิกจะใช้โอกาสนี้ทบทวนการดําเนินการของอาเซียนตลอดช่วงที่ผ่านมา ทั้งประเด็นภายในอาเซียน และประเด็นท้าทายในระดับภูมิภาคและโลก ซึ่งผลจากการปฏิบัติในรายละเอียด ผมจะได้เล่าให้ฟังในวันศุกร์หน้า ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ