ผ่าประเด็นร้อน
“หมู...ใจเย็นๆ”
“ไม่มีอะไร ผบ.ทบ.คนเก่า และผบ.ทบ.คนใหม่คุยกันเรียบร้อยตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาฯ แล้ว อาจจะมีการเข้าใจอะไรผิดกัน ไปเขียนจนเหมือนทะเลาะกัน แต่เขาไม่ได้ทะเลาะกัน ส่วนที่ พล.อ.ธีรชัยสั่งปรับภูมิทัศน์ที่กองบัญชาการกองทัพบกนั้นเป็นเรื่องของบุคคล ไม่เป็นอะไร เพราะอาจจะมองกันคนละแบบคนละด้าน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผมเป็นผู้บัญชาเขาก็ต้องดูแลเขา ทั้งสองคนก็ไม่ได้คิดอะไรกัน ทั้งคู่ทำงานเพื่อกองทัพ”
“ไม่มีกระเพื่อมร้อยเปอร์เซ็นต์ เรื่องนี้ไม่มีอะไร จบไปแล้ว สบายใจได้”
คำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พยายามอธิบายให้สังคมภายนอกได้เห็นว่าไม่มีปัญหาความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตผู้บัญชาการทหารบก กับ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก และบอกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะมองกันคนละด้าน อย่างไรก็ดีในฐานะผู้บังคับบัญชาก็ต้องดูแลพวกเขา ซึ่งความหมายก็คือต้องรับรับบท “กาวใจ” เข้ามาเคลียร์ปัญหาของทั้งคู่นั่นแหละ
และนี่คือที่มาของคำว่า “หมู...ใจเย็นๆ!!”
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากคำพูดข้างต้นของ “พี่ใหญ่” อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ได้เห็นภาพ “รอยปริร้าว” อย่างชัดเจนระหว่างอดีตผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน ที่ทั้งคู่ถือว่าเป็นกำลังสำคัญในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ค้ำยันเสถียรภาพของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างไม่อาจปฏิเสธได้
แม้ว่าเมื่อพิจารณาตามรูปการณ์แล้วนี่อาจเป็นความขัดแย้งกัน “ส่วนบุคคล” ที่มีมุมมองกันคนละด้านเหมือนอย่างที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวเอาไว้ก็ได้ และที่สำคัญระดับ “พี่ใหญ่ และพี่รอง” คงจะรีบเข้ามาห้ามทัพกันเสียแต่ต้นมือก่อนที่จะบานปลายออกไปจนขายขี้หน้าคนข้างนอก แต่ขณะเดียวกันมันช่วยไม่ได้ที่ได้เห็นอาการดังกล่าวออกมาแล้ว
แน่นอนว่าความขัดแย้งของทั้งคู่มีอยู่จริง แต่คำถามก็คือมันมีต้นตอจากเรื่องอะไรกันแน่ เพราะทุกอย่างที่เป็นในวันนี้มันก็ย่อมมีที่มาที่ไป หากพิจารณาจากแบ็กกราวด์ของทั้งคู่ก็ต้องบอกว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่น “ตท.14” และเส้นทางการเติบโตก็มาในเส้นทางเดียวกันใน “สายตะวันออก” ที่เรียกว่า “บูรพาพยัคฆ์” แม้ว่าในรายละเอียดอาจจะแยกห่างออกไปบ้าง แต่ก็ถือว่า “พวกเดียวกัน”
อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งในรุ่นเดียวกันก็ใช่ว่าจะปึ้กกันทุกคน ในห้องเดียวกันบางคนก็ยังมีความหลังฝังใจ ขบเหลี่ยมกันมาตลอดก็ดี และแม้ว่าหากพิจารณาจากสถิติย้อนไปในอดีตนี่ถือว่าเป็นครั้งที่ 2 ที่คนในรุ่นเดียวกันได้เป็นผู้นำกองทัพในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกถึงสองคน หลังจากในรุ่น 6 ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หลังจากลงจากเก้าอี้ก็ส่งไม้ต่อให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ขึ้นดำรงตำแหน่งต่อมา
อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร “บิ๊กโด่ง” กับ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช อาจมีเรื่องให้จับตาเป็นพิเศษ เพราะอาจมี “ตัวแปร” จากภายนอกเข้ามากดดันเป็น “ตัวเร่งปฏิกิริยา” ด้วยก็ได้ เพราะหากจำกันได้ในช่วงท้ายๆ ก่อนเกษียณอายุราชการ มีการขับเคี่ยว “ชิงดำ” ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ระหว่าง พล.อ.ธีรชัย กับ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามรายงานบอกว่าต้องลุ้นจนตัวโก่ง ว่ากันว่าฝ่ายแรกได้แรงหนุนจากพี่ใหญ่ ส่วนอีกฝ่ายก็ผ่านทาง “น้องโด่ง” ซึ่งต้องเป็นคนเสนอชื่อ แต่ทำเอาใจหายใจคว่ำกว่าจะเป็นชื่อ “หมู” ออกมา โดย พล.อ.ปรีชา ไปนั่งเป็นปลัดกลาโหม
ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะเรื่องการเสนอชื่อแต่งตั้งดังกล่าวหรือเปล่า ไม่อาจชี้ชัดได้ แต่กลายเป็นว่าคำสั่งแต่งตั้งนายทหารบางตำแหน่งที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เซ็นทิ้งไว้ก่อนเกษียณฯ ก็โดนแก้ไขพร้อมกับมีคำสั่งแต่งตั้งใหม่ออกมาทันที แม้ว่าการโยกย้ายนายทหารระดับพันเอกพิเศษแบบนี้มักมีออกมาเสมอเหมือนกับเป็นการ “กระชับอำนาจ” เป็นมือไม้ในการบริหารและการบังคับบัญชา ที่ต้องใช้คนที่ไว้ใจได้ เพื่อประกันความชัวร์ไว้อีกชั้นหนึ่ง แต่การสั่งรื้อทุบรั้วการปรับภูมิทัศน์ใหม่ภายในกองบัญชาการกองทัพบกมันย่อมไม่ธรรมดา เป็นเรื่องผิดสังเกตเหมือนกับ “หักหน้า” กันทีเดียว เพราะสั่งรื้อกันแบบยังไม่ทันคล้อยหลังอีกฝ่ายดีนัก
ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ “พี่ใหญ่” อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องออกปากเบรก “หมู...ใจเย็นๆ” หรือเปล่า เพราะหากลุกลามออกไปให้สังคมข้างนอกได้เห็นมันก็ขายขี้หน้า และจะกระเทือนต่อเอกภาพของ คสช.ขณะที่มีการเรียกหาความสามัคคีจากคนในชาติ แต่ภายในกลับมีสนิมเกาะกินเนื้อใน มันก็ไม่สวยเหมือนกัน!!