“ประยุทธ์” นำภาครัฐร่วมประชุม 5 เสือองค์กรภาคธุรกิจขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เอกชนชูมือเชียร์รัฐบาลมาถูกทาง พัฒนาจากภายใน แนะเชื่อมโยงโลก ดึงเอสเอ็มอีเข้าสู่ระบบ มั่นใจไตรมาสสุดท้ายเศรษฐกิจไทยดีขึ้น
ที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (7 ต.ค.) นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พร้อมด้วยนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทย นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และนายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ร่วมกันแถลงผลการประชมร่วมภาครัฐเอกชน ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน
นายปรเมธีกล่าวว่า การประชุมในวันนี้ภาครัฐได้ให้ข้อมูลมาตรการในภาพรวมแก่ภาคเอกชนเพื่อให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างกันในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยมาตรการใหญ่ๆที่ภาครัฐได้ดำเนินการแบ่งออกเป็น โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น การสร้างเส้นทางมอเตอร์เวย์ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในโครงการต่างๆ เป็นต้น ด้านโครงการกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชน เช่น มาตรการของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มาตรการด้านเขตเศรษฐกิจพิเศษ มาตรการด้านภาษี เป็นต้น
นายปรเมธีกล่าวว่า โครงการต่อมาคือโครงการด้านการลงทุนของภาครัฐที่ไปสู่ชุมชน เช่น การช่วยเหลือเกษตรกรชาวนา ชาวสวนยาง เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง มาตรการพัฒนาความเป็นอยู่ของผู้มีรายได้น้อย รวมไปถึงมาตรการด้านการให้สินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) เป็นต้น โดยการหารือร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนนั้นเพื่อก่อให้เกิดการร่วมมือกัน ช่วยกันคิดและให้ข้อเสนแนะ เพื่อให้เอกชนเข้ามาทำหน้าที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
เลขาธิการ สศช.กล่าวว่า คณะกรรมการร่วมภาครัฐเอกชนระดับจังหวัด (กรอ.จว.) เป็นกลไกที่สำคัญในการบริหารจัดการของจังหวัด ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการปรับปรุงให้เป็นกลไกเชื่อมการทำงานระหว่างภาครัฐและเอกชนในระดับท้องถิ่นมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่ง กรอ.ในส่วนกลางก็จะทำหน้าที่ในการออกแผนแม่บท ด้าน กรอ.จว.ก็จะมีต้องมีแผนพัฒนาของตนเองซึ่งเชื่อมโยงกับแผนแม่บท โดยเน้นให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับชุมชน (Local Economy) เช่น ในเรื่องของการท่องเที่ยว การผลิตสินค้าโอทอป การส่งเสริมการผลิตสมุนไพร เป็นต้น สิ่งสำคัญคือการร่วมมือกันนี้จะต้องสร้างความเข้าใจเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในลักษณะที่เรียกว่า “ประชารัฐ” คือการร่วมกันทั้งงภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
ด้านนายอิสระกล่าวว่า ภาคเอกชนได้รับทราบงบประมาณที่รัฐบาลใช้ในโครงการ มาตรการต่างๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการ คือ อยากเห็นวิธีการปฏิบัติของการนำงบฯไปใช้รวมถึงผลลัพธ์ที่ลงไปในระดับชุมชน และต้องการให้มีความร่วมมือจากภาคเอกชน โดยตนได้เสนอให้มีการปรับโครงสร้าง กรอ.จังหวัด ให้มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานมากขึ้น ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ เสนอให้นักวิชาการมีส่วนใน กรอ.จังหวัดเข้ามาด้วย เพราะนักวิชาการเป็นแหล่งความรู้ที่จะสามารถช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจได้ อีกทั้งการดำเนินงานจะต้องมีความร่วมมือกับภาคประชาสังคมเพิ่มมากขึ้นและทำงานอย่างบูรณาการร่วมกับองค์กรเอกชนทั้ง 5 ด้าน
นายอิสระกล่าวว่า ในส่วนของเอสเอ็มอีซึ่งมีอยู่ประมาณ 2.7 ล้านราย มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องเพียงประมาณ 6 แสนราย จึงจำเป็นต้องกระตุ้นให้เอสเอ็มอีเข้าสู่ระบบมากขึ้น โดยจะมีการให้ความรู้ด้านการทำบัญชีที่ถูกต้อง ในขณะนี้ทางกระทรวงการคลัง (กค.) ได้มีโปรแกรมทำบัญชีอย่างง่ายเอาไว้รองรับ เพื่อทำให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือและแหล่งเงินทุน
ขณะที่นายสุพันธุ์กล่าวว่า งบประมาณที่ภาครัฐใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของรัฐบาลเป็นอย่างดี และเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ส่วนการทำบัญชีหลายเล่มของเอสเอ็มอีนั้นต้องมีการส่งเสริมให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการในด้านการทำบัญชีเล่มเดียวเพื่อทำให้เขาสามารถรู้ถึงผลการดำเนินธุรกิจที่แท้จริงและเข้าสู่การจดทะเบียนที่ถูกต้องตามกฎหมาย ขณะนี้ก็ได้ร่วมมือกับทางกรมสรรพากรและทางสภาวิชาชีพนักบัญชี
นายสุพันธุ์กล่าวต่อว่า การมีโปรแกรมการทำบัญชีและการมีโครงการส่งเสริมให้ความรู้ด้านบัญชี จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าใจและมีความรู้ต่อการเสียภาษีมากขึ้นซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้งผู้ประกอบการและภาครัฐทั้งสองฝ่าย และการเข้ามาสู่ระบบที่ถูกต้องตามกฎหมายก็จะทำให้ภาครัฐมีข้อมูลของผู้ประกอบการอย่างรอบด้าน ซึ่งส่งผลต่อการออกมาตรการให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสม รวมถึงผู้ประกอบการเองก็จะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ง่ายมากขึ้น
ขณะที่นายบุญทักษ์กล่าวว่า การทำบัญชีของผู้ประกอบการเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อทำให้ถูกต้องก็จะสามารถช่วยในเรื่องของการปล่อยสินเชื่อของทางธนาคาร และว่าการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะด้านการเงิน เช่นการปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอี การให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้าทำหน้าที่รับประกันได้อย่างรวดเร็ว ในขณะนี้มีการประกันไปแล้วกว่า 2,000 ล้านบาท และเชื่อว่าจะสามารถทำได้ถึง 10,000 ล้านบาทต่อเดือน และอัตรากรปล่อยสินเชื่อจะขยายจากร้อยละ 5.9 ในขณะนี้ เป็นร้อยละ 6.5 ของทั้งปี
นายบุญทักษ์กล่าวว่า สมาคมธนาคารฯ เห็นว่ามาตรการของรัฐบาลจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นในไตรมาสสุดท้าย สิ่งที่ดีมากคือรัฐบาลให้ความสำคัญต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งจะสามารถเพิ่มความเชื่อมั่นในการลงทุนของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศในระดับที่สูงมากขึ้น
ด้านนายกิตติรักษ์กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ จะขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในระดับชุมชนผ่านทาง กรอ. โดยนำเสนอทิศทางในการท่องเที่ยวชุมชน สำหรับให้เกิดเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจระดับท้องถิ่น และผลักดันให้เอสเอ็มอี สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อนำมาพัฒนาศักยภาพและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้การที่รัฐบาลได้เพิ่มวันหยุดราชการประจำปี 2559 จะต้องส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น และเชื่อว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติมีแนวโน้มที่ดีมากขึ้น
นายนพพรกล่าวว่า การที่รัฐบาลพัฒนาเศรษฐกิจ ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “ประชารัฐ” และ “การเข้มแข็งไปพร้อมกัน” ซึ่งในวันนี้นายกฯ ได้ร่วมประชุมกับองค์กรภาคธุรกิจที่เรียกว่า “5 เสือ” เชื่อว่าเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ถูกทาง ซึ่งสถานการณ์เศรษฐกิจในโลกขณะนี้ที่ซบเซา ส่งผลให้การส่งออกประสบกับปัญหา สิ่งที่สำคัญคือการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศให้มีความเข้มแข็ง และสิ่งที่ต้องทำต่อมาคือการสร้างห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ช่วมโยงไปสู่การค้าระดับภูมิภาค และระดับโลกต่อไป
นายนพพรกล่าวต่อว่า ภาพลักษณ์ของประเทศไทยไม่ได้แย่ในสายตาของต่างประเทศ เพียงแต่ขณะนี้เรากำลังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น การที่รัฐบาลออกมาตรการต่างๆ สำหรับขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะช่วยสร้างให้เกิดความมั่นใจต่อนักลงทุน และในวันนี้ที่รัฐบาลเปิดโอกาสและต้องการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมนับเป็นก้าวแรกที่สำคัญ และต้องมีการต่อๆ ไปเพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศ